Dyslexia คือ ความบกพร่องในการอ่าน มีปัญหาในการอ่านเขียน สะกดคำติดขัด ผสมคำไม่ได้ จัดเป็นความผิดปรกติเฉพาะด้านการเรียนรู้ (Learning Disorder) มีสาเหตุจากความผิดปรกติของการทำงานที่เซลล์สมองซีกซ้าย
Persatuan Dyslexia องค์กรช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคดิสเล็กเซีย ประเทศมาเลเซีย พบว่าเด็กวัยเรียนมีปัญหาเกี่ยวกับโรคนี้ถึง 10% และ 4% รุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการเรียน ซึ่งหากผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้นี้ เด็กอาจถูกลงโทษเพราะเรียนไม่ทันเพื่อน ไม่ทำการบ้าน มีปัญหากับเพื่อนร่วมชั้น ทำให้เด็กมองตนเองอยู่ในกลุ่มเด็กไม่ดี นำไปสู่พฤติกรรมเกเร หนีเรียน
ซึ่งองค์กรพยายามรณรงค์ให้ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องในระบบการศึกษา ร่วมค้นหาศักยภาพในเด็กที่มีปัญหาอ่านเขียน เพื่อวางแผนการเลี้ยงดู การเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับความถนัดเพื่อดึงศักยภาพของเด็กออกมาให้มากที่สุด เพราะเด็กที่เป็นโรคนี้ไม่ได้มีปัญหาทักษะอื่นๆ แถมบางคนกลับเป็นคนเก่งในด้านอื่นๆ เช่น เล่าเรื่องเก่ง ไหวพริบดี และหลายคนก็เข้าขั้นอัจฉริยะ
ซึ่ง 3 อัจฉริยะของโลกที่มีความบกพร่องทางการอ่านเขียนอย่าง John Lennon, Albert Einstein และ Pablo Picasso และนี่จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ เอเจนซี่โฆษณาอย่าง Grey มาเลเซีย สร้างสรรค์โฆษณารณรงค์ช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคดิสเล็กเซียให้กับองค์กร โดยใช้เส้นขยุกขยุยเหมือนลายมือของเด็กที่บกพร่องทางการอ่านเขียน แต่รวมลายเส้นออกมาได้เป็น 3 อัจฉริยะของโลก
– John Lennon
หนึ่งในสมาชิก The Beatles แม้เขาจะบกพร่องด้านการอ่าน แต่กลับเขียนโน้ตดนตรีและเนื้อเพลงได้อย่างไพเราะสวยงาม
– Albert Einstein
เติบโตมาพร้อมกับโรคดิสเล็กเซียจนดูโง่ในสายตาครู แต่เขาก็ได้เป็นนักฟิสิกส์ บุคคลอัจฉริยะชื่อดังของโลก
– Pablo Picasso
ศิลปินก้องโลก ผสมตัวอักษรไม่เป็น อ่านหนังสือแทบไม่ได้ แต่การรับรู้ที่ผิดปรกติทำให้โลกได้เห็นภาพวาดที่แตกต่างด้วยจินตนาการสุดล้ำ
นอกจากยังมีอัจฉริยะและบุคคลที่ประสบความสำเร็จอีกมากที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในวัยเรียน หากเอ่ยชื่อออกมา อาจไม่เชื่อว่านี่หรือคือคนที่มีความบกพร่องด้านการอ่านเขียน!
เพราะโรคดิสเล็กเซียนั้นไม่ถือเป็นโรค ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา แม้ไม่มีวันหาย แต่สามารถเอาชนะอุปสรรคด้วยความเข้าใจจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะจากพ่อแม่และครู เด็กก็จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพที่ดีและมีความสุขกับการใช้ชีวิตในสังคม หรือไม่แน่… เราอาจจะได้อัจฉริยะเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้
ที่มา: creativemove