Germany เยอรมนี ถือได้ว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กๆ อยู่ในระดับสูง
แต่ถึงอย่างนั้นผลการสอบ PISA กลับแสดงให้เห็นว่าที่นี่ไม่ได้มีระบบโรงเรียนที่เสมอภาคกัน นั่นก็เพราะโรงเรียนของที่นี่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท เด็กจะได้ไปเรียนที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผลการศึกษา และฐานะทางสังคม
เมื่อเด็กขึ้นชั้น ป.4 ก็จะเริ่มถูกครูคัดแยกไปเรียนต่อในระดับมัธยมยังสถาบันต่างๆ ตามผลการศึกษาที่ปรากฏ นั่นก็เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่เหมาะสมบนพื้นฐานของ ระบบโรงเรียนแบบไตรภาคี ได้แก่
1. โรงเรียนที่เน้นการเรียนต่อสายอาชีพ
2. โรงเรียนที่เน้นการเรียนรู้ทั่วไป
3. โรงเรียนที่เน้นด้านวิชาการ
ซึ่งโดยทั่วไป เด็กที่เรียนดีและมีต้นทุนทางสังคมที่ดีมักจะได้เข้าศึกษาในโรงเรียนอย่างหลัง ในขณะที่เด็กต้นทุนต่ำหรือผู้อพยพ จะได้เรียนในโรงเรียนสองแบบแรกแทบทั้งสิ้น
ระบบโรงเรียนแบบไตรภาคีอาจจะทำให้เด็กเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งก็นับว่าเป็นข้อดี แต่ในทางตรงข้าม ระบบแบบนี้จะทำให้การศึกษาขาดความเชื่อมโยงกัน
เพราะเด็ก ป.4 จะถูกจัดให้เข้าโรงเรียนแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวกำหนดอาชีพในอนาคตของเขาไปโดยปริยาย อีกทั้งครูเองก็ยังจัดเด็กเข้าเรียนผิดที่ผิดทางซ้ำๆ แม้จะมีโรงเรียนที่แบ่งแยกอย่างชัดเจนเช่นนี้ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้เอง เยอรมันนีจึงคิดที่จะปฏิรูปการฝึกหัดครูเสียใหม่ เพื่อให้ครูสามารถประเมินเด็กได้ดีกว่านี้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดและได้ผลเป็นรูปธรรมนั่นก็คือ การให้ครูส่งเสริมศักยภาพของเด็กเป็นรายบุคคล และให้พ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องการเรียนของลูก
โดยจะต้องทำ สัญญาความร่วมมือทางการศึกษา ขึ้นมา เพื่อให้ทั้งครู เด็ก และผู้ปกครองมีส่วนรับผิดชอบต่อการศึกษาครั้งนี้ร่วมกัน ผลที่ได้ก็คือเด็กตั้งใจเรียนรู้มากขึ้น ตลอดจนมีความกระตือรือร้นในการทำงานในชั้นเรียนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เนื่องจากระบบไตรภาคีสามารถวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้เพียงระดับหนึ่ง ดังนั้น เยอรมันนีจึงมุ่งปฏิรูประบบโรงเรียนแบบเก่าไปสู่ ระบบโรงเรียนแบบสองเสา นั่นก็คือมีโรงเรียนแค่ 2 ประเภทเท่านั้น ได้แก่
1. โรงเรียนที่เน้นการเรียนต่อสายอาชีพ
2. โรงเรียนที่เน้นด้านวิชาการ
ทั้งนี้ก็เพื่อลดข้อผิดพลาดในการจัดสรรเด็กเข้าโรงเรียน และยังช่วยให้เด็กแต่ละคนได้รับสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเหมาะสมกับศักยภาพของตนเองอีกด้วย
ข้อมูลจาก: Eduzones