เทียบความต่าง “เรียนต่อปริญญาโทที่ UK vs US” ต่างกันอย่างไร? แบบไหนดีกว่า?

สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาถือเป็นสองประเทศตัวเต็งที่นักศึกษาทั่วโลกตั้งเป็นจุดหมายในการเดินทางเพื่อไปเรียนต่อในต่างแดน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้รับการยอมรับในเรื่องของมาตรฐานและคุณภาพด้านการศึกษาระดับโลกเหมือนกัน แต่ทั้งสองประเทศก็มีความต่างในเรื่องของรายละเอียดและรูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

 

การเรียนรู้ข้อดี ข้อเสีย หรือข้อควรพิจารณาของแต่ละปลายทางจะช่วยให้คุณสามารถเลือกจุดหมายเพื่อการเรียนต่อที่ตอบโจทย์และความต้องการได้มากยิ่งขึ้น

ดังนั้น #สาระน่ารู้ ในวันนี้เราจึงได้รวบรวมความแตกต่างระหว่าง “เรียนต่อปริญญาโทที่ UK vs US” มาฝากกันค่ะ

 

 

การเรียนต่อปริญญาโทที่ UK

✅ ข้อดี

• เต็มไปด้วยนักศึกษาต่างชาติ ทำให้ได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

• หลักสูตรใช้เวลาน้อยกว่า โดยทั่วไปการเรียนปริญญาโทในสหราชอาณาจักรจะใช้เวลา 1 ปี ซึ่งเทียบเท่ากับ 2+ ในสหรัฐอเมริกา

• แต่ละหลักสูตรมีความเชี่ยวชาญสูง เน้นเรียนลึกและละเอียด

 

❌ข้อเสีย

• ค่าใช้จ่ายในการศึกษามีราคาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะหลักสูตรเฉพาะทาง

• แม้ว่าจะมีทุนหลากหลาย แต่ทุนสำหรับนักศึกษาต่างชาติก็ค่อนข้างจำกัดทั้งเกณฑ์ในการสมัครและเงื่อนไขอื่นๆ

• มีตัวเลือกที่น้อยกว่า เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วผู้เรียนจะไม่เรียนในสาขาวิชานอกหลักสูตรเฉพาะทาง

 

การเรียนต่อปริญญาโทที่ US

✅ ข้อดี

• มีตัวเลือกเยอะ สาขาหลากหลาย

• เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านการศึกษาและการวิจัย ทำให้มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้กับนักวิจัยหรือเข้าถึงคลังวิจัยระดับโลก

• มีเงินช่วยเหลือหลากหลายทาง ทั้งเงินกู้ยืมทางการศึกษา ทุนรัฐบาล ไปจนถึงทุนจากมหาวิทยาลัย

 

❌ข้อเสีย

• ใช้เวลาเรียนค่อนข่างนาน โดยเฉลี่ยการเรียนระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาจะใช้เวลา 2 ปีเป็นอย่างน้อย

• ค่าใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ต้องใช้ของหลักสูตร

• เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่หลากหลายทำให้บางคนอาจเจอกับความคุ้นเคยที่บ้านเกิดและทำให้โอกาสเติบโตหรือเรียนรู้แง่มุมอื่นๆ น้อยลง

 

การสมัครเรียน

โดยทั่วไปแล้วการสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาโทขอ UK จะใช้รูปแบบของการลงทะเบียนครั้งเดียวผ่าน UCAS ซึ่งเป็นระบบรวมศูนย์สำหรับการลงทะเบียนเข้ามหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร และทุกสถาบันจะทำการพิจารณาผ่านระบบนี้ โดยบางครั้งอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติม และตามปกติแล้ว วันรับสมัครของแต่ละสถาบันจะมีกำหนดใกล้ๆ กับวันเปิดภาคเรียน

ขณะที่ฝั่ง US จะเป็นการสมัครเรียนแบบรายสถาบัน คือคุณต้องส่งใบสมัครไปยังสถาบันที่สนใจทีละที่ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับแบบ UK นอกจากนี้ระยะเวลาเตรียมตัวและการเปิดรับสมัครยังยาวกว่า

 

ระบบการให้เกรดใน UK กับ US

ระบบการให้คะแนนระหว่างสองดินแดนนี้ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยของฝั่ง UK จะซับซ้อนกว่าเล็กน้อย ในขณะที่ฝั่ง US ค่อนข้างเข้าใจง่าย ตามตามรางนี้เลย

 

ค่าใช้จ่ายในการเรียนที่ UK กับ US

ที่สหราชอาณาจักรค่าเล่าเรียนจะอยู่ที่ราวๆ 30,000 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 1.2 ล้านบาท)

ขณะที่สหรัฐอเมริกาค่าเล่าเรียนจะอยู่ที่ 20,000 – 30,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 693,000 – 1 ล้านบาท)

แม้ว่าจะดูแตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากสหราชอาณาจักรใช้เวลาเรียนระดับปริญญาโทโดยส่วนใหญ่แค่ปีเดียว ขณะที่สหรัฐอเมริกาจะอยู่ที่ราวๆ 2 ปีทำให้เมื่อเทียบกันแล้วค่าใช้จ่ายจะไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่

 

ข้อกำหนดของวีซ่า :

สำหรับทั้งสองประเทศนี้ นักศึกษาต้องได้รับวัซ่าก่อนที่จะเดินทางไปเรียนโดยรายละเอียดจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ในส่วนนี้สามารถสอบถามไปยังสถานทูตได้

 

ประกันสุขภาพ :

ที่สหรัฐอเมริกาค่าใช้จ่ายในเรื่องการรักษาพยาบาลจะค่อนข้างสูง และนักศึกษาอาจไม่ได้รับสิทธิ์การทำประกันผ่านทางมหาวิทยาลัย

ขณะที่ฝั่งสหราชอาณาจักรจะมีสิทธิ์สำหรับดูแลเรื่องเหล่านี้ (ทั้งฟรีและราคาถูก) สำหรับนักศึกษาต่างชาติผ่านบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS)

 

 

ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นเพียงข้อคิดเห็นส่วนหนึ่งที่เผยแพร่บนบทความของเว็บไซต์ gooverseas ซึ่งมีความน่าสนใจในหลากหลายแง่มุม แต่สำหรับใครที่อยากรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะจริงแค่ไหน หรือแบบไหนจะเหมาะกับเรามากกว่า คงต้องลองไปหาคำตอบด้วยตัวเองกันค่ะ :)

 

ที่มา: gooverseas.com

ร่วมแสดงความคิดเห็น...

SHARE

ดูเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ...