หากนับดูดีๆแล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นประเทศที่มีจำนวนมหาวิทยาลัยเยอะมาก ตัวเลขรายงานสถาบันที่สามารถออกไปปริญญาในประเทศมีกว่า 4,500 แห่ง ซึ่งหลายคนที่วางแผนจะไปเรียนต่ออาจจะเกิดความสับสนในการเลือกที่เรียน
ในคราวนี้เราเลยมีข้อมูลมาฝากว่ามหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 4 ประเภท ซึ่งก็ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มาชมกันเลย
1 Public University
มหาวิทยาลัยรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสถาบันของรัฐก็จะตั้งชื่อตามสถานที่หรือเมิงนั้นๆ อย่างเช่นมหาวิทยาลัยของไทยก็มี มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางฝั่งอเมริกาก็อาจจะมี University of California, Berkeley (รัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองเบิร์เคลีย์) หรือ University of Texas, Austin (ก็คือมหาวิทยาลัยเท็กซัส วิทยาเขตเมืองออสติน)
ข้อดีของมหาวิทยาลัยรัฐอย่างหนึ่งก็คือ สร้างมาเพื่อกระจายการศึกษาไปยังที่ต่างๆ จึงมีค่าเล่าเรียนที่ไม่แพงนัก และสร้างมาเพื่อรองรับนักศึกษาแถบนั้นๆ แต่ปัจจุบันหลายมหาวิทยาลัยก็มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก และมีนักศึกษาต่างชาติอยู่เพียบเลยล่ะ
2 Private University
มหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และแน่นอนว่าค่าเทอมนั้นแพงมาก (รวมถึงมีโควต้าไว้ให้คนที่บริจาคเงินสนับสนุนด้วย) เราอาจจะคุ้นชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังหลายๆแห่งอย่างเช่น Harvard University, Princeton University, Cornell University เป็นต้น
3 Research University
เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นการวิจัย นักศึกษาส่วนใหญ่จึงเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก รวมถึงให้ความสำคัญกับงานวิจัยเป็นหลัก ซึ่งนักศึกษาสามารถได้ทั้งความรู้และรายได้พิเศษในการช่วยงานวิจัยได้ด้วย
4 Liberal Arts College
มหาวิทยาลัยในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันขนาดเล็ก ซึ่งตามชื่อของสถาบันก็จะเปิดสอนสาขาทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์เป็นหลัก ซึ่งก็มีสาขาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์เปิดสอนด้วย โดยเน้นสอนระดับปริญญาตรี นักเรียนจะได้วุฒิ BA หรือ BSc. โดยไม่ระบุเมเจอร์ ห้องเรียนจะมีขนาดเล็กกว่ามหาวิทยาลัยทั่วไป และนักศึกษาได้ใกล้ชิดกับอาจารย์มากกว่ามหาวิทยาลัยปกติ
นอกจากการจัดแบ่งเป็น 4 ประเภทคร่าวๆนี้แล้ว รูปแบบของมหาวิทยาลัยอาจจะมีการจัดแบ่งได้อีกหลายประเภทและหลากหลายรูปแบบตามที่จะแบ่ง เช่น มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่เล็ก มหาวิทยาลัยตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งก็หวังว่านี่จะเป็นข้อมูลแนวทางดีๆกันนะครับ….
ที่มา: abroadwith
