เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิจัยในนาม UNESCO ได้นำเสนอผลงานวิจัยเรื่องสถิติการกวดวิชาสำหรับใช้วิเคราะห์เพื่อกำกับดูแลการกวดวิชา ซึ่งจากการสำรวจ สถิติการกวดวิชาของประเทศในกลุ่มเอเซียแปซิฟิก พบว่ามีจำนวนนักเรียนที่กวดวิชา ดังนี้
– เขตปกครองพิเศษฮ่องกง นักเรียนเกรด 9 หรือ ชั้น ม.3 กวดวิชา 53.8 % และ ม.6 กวดวิชา 71.8%
– อินเดียเด็กอายุ 6-14ปี กวดวิชา 73%
– คาซักสถาน กวดวิชาตอนเรียน ม.ปลายปีสุดท้าย 59.9%
– เวียดนามเด็กประถมศึกษากวดวิชา 32% ม.ต้น 46% และม.ปลาย 63%
– สาธารณรัฐเกาหลีเด็กประถมศึกษากวดวิชา 86.8% ม.ต้น 72.2% และม.ปลาย 52.8%
จากการสำรวจดังกล่าวนักวิจัยชี้ว่า แต่ละประเทศมีการกวดวิชามากจนกลายเป็นการศึกษาคู่ขนานกับการศึกษาปกติ โดยมีหลายรูปแบบทั้งระดับองค์กรและระดับบุคคล บนดินและใต้ดิน ซึ่งจัดเป็นโรงเรียนโดยตั้งเป็นบริษัท เก็บเงินจากผู้เรียน รวมถึงจัดผ่านระบบออนไลน์
สำหรับเด็กไทย ถึงแม้จะไม่มีตัวเลขเชิงสถิติว่ามีการกวดวิชามากแค่ไหน แต่ธุรกิจการกวดวิชาก็เพิ่มขึ้นทุกปี สังเกตได้จากเด็กเรียนในระบบมักจะไปกวดวิชาหลังเลิกเรียนหรือวันเสาร์-อาทิตย์
“นักวิจัยวิเคราะห์ว่า กวดวิชาเป็นภาพสะท้อนให้ย้อนกลับมาดูการศึกษาในระบบว่าต้องปรับปรุง และการกวดวิชาถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่อย่าไปคิดเลิกเลย ซึ่งเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เคยมีความพยายามที่จะเลิก แต่ในที่สุดก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแรงกดดันจากพ่อแม่ผู้ปกครองและประชาชนที่เห็นว่ายังมีความจำเป็น
ทั้งนี้งานวิจัยที่ทำขึ้นไม่ได้มุ่งเพื่อให้เลิกการกวดวิชา แต่ต้องการให้เป็นระบบที่เป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ให้เด็กทุกคนมีโอกาสเข้าถึง” ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร สทศ. กล่าว
ข้อมูลจาก: dailynews