สิ่งสำคัญของการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพคือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ การมีพื้นฐานที่ดีจะช่วยต่อยอดได้ง่ายและกว้างมากยิ่งขึ้น
การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นกัน การปูพื้นฐานให้แน่นจะช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง และไม่จำเป็นต้องอาศัยการท่องจำให้เสียเวลา
#ห้องเรียนภาษาอังกฤษในวันนี้เราจึงอยากจะชวนทุกคนมาปูพื้นฐานใหม่อีกครั้ง โดยเริ่มจากเรื่องของ Part of Speech หรือคำและชนิดของคำ ที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ ของภาษาอังกฤษ
มาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ :D
Part of Speech ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
1. คำนาม (Nouns)
คำนามได้แก่ สิ่งของ, สัตว์, คน สถานที่, ไอเดีย, คุณภาพ, ความคิด, กิจกรรม, ความรู้สึก ซึ่งคำนามสามารถเป็นได้ทั้งเอกพจน์ (Singular) และพหูพจน์ (Plural) หรือคำนามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของ (Possessive) ตัวอย่างเช่น
– This book is filled with intrigue and interest.
– Please light the fire.
2. คำสรรพนาม (Pronouns)
คำสรรพนามคือคำที่ใช้แทนคำนาม เช่น ฉัน, คุณ, เธอ, หรือ พวกเขา ตัวอย่างเช่น
– It is filled with intrigue.
– Please light their fire.
– I’d like some of them in my tea.
3. คำกริยา (Verbs)
คำกริยาคือคำที่แสดงถึงการกระทำ โดยมีทั้งกริยาหลัก เช่น run, eat และกริยาช่วย เช่น must, have กริยาจะทำหน้าที่บอกเวลาและเปลี่ยนรูปแบบไปตามอดีต, ปัจจุบัน หรืออนาคต รวมไปถึงยังมี linking verbs ที่ใช้เพื่อแสดงความรู้สึกของประธาน เช่น seem, appeal ตัวอย่างดังนี้
– Lexi and Mark walked through the woods.
– Lexi has walked through these woods before.
– Mark appears excited to start this new adventure.
4. คำคุณศัพท์ (Adjectives)
ใช้เพื่อขยายคำนามหรือคำสรรพนาม และมันมักจะไม่ตั้งอยู่ก่อนคำนามเพราะมันมักจะให้ความหมายหรืออธิบายคำนามหรือคำสรรพนามในทางใดทางหนึ่ง เช่น
– Lexi wore a pair of faded jeans.
– This black coffee tastes disgusting.
– Nothing beats a rainy Monday morning.
5. คำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs)
ใช้เพื่ออธิบายความหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำกริยา รวมไปถึง how much, when, where, why, หรือ how ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างดังนี้
– She gleefully skipped down the street.
– He arrived early to their first date.
– I almost missed the ball.
6. คำบุพบท (Prepositions)
แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือคำสรรพนาม และมักใช้เพื่อบอกสถานที่ เช่น “beside,” “in,” หรือ”on จงจำไว้ว่าคำบุพบทจะต้องตามด้วยคำนามหรือคำสรรพนามเสมอ ตัวอย่างดังนี้
– The salt is beside the pepper.
– Take the gift in the living room.
– She sat on the rock.
7. คำสันธาน (Conjunctions)
คำสันธานใช้เพื่อเชื่อมต่อคำสองคำ, วลี หรือประโยค ได้แก่ “and,” “but,” และ “or.” เช่น
– He ate leafy greens, tomatoes, and cucumbers.
– Take the salad dressing but leave the pasta.
– Would you like the chicken or the steak?
8. คำอุทาน (Interjections)
คำอุทานใช้เพื่อแสดงอารมณ์ โดยทั่วไปแล้วมักจะตามด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ ! เช่น “hurray,” “uh-oh,” และ “alas.” ดังนี้
– Yay! I’m so excited you’re here.
– Hey, get back over here, missy!
– Give me a break, sheesh!
9. คำนำหน้านาม (Articles)
มักจะเป็นคำเล็กๆ แต่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ซึ่งคำนำหน้านามนั้นได้แก่ “a” และ “an” ที่ใช้กับคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจง และ “the” สำหรับคำนามที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงใช้กับบุคคล สถานที่ ไอเดียที่เฉพาะเจาะจงเช่นกัน ตัวอย่างการใช้ดังนี้
– Do you have a new book to lend me?
– I would like to buy an apple.
– Please take the new student out for a walk.
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญ สำหรับมือใหม่ที่กำลังฝึกหัด หรือคนที่อยากจะทบทวนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ลองทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้ดูนะคะ รับรองได้ว่าคุณจะเก่งขึ้นอย่างแน่นอน :D
ที่มา: grammar