สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เรามีบทความสุดพิเศษมาฝาก! กับการสัมภาษณ์ ‘พี่เชรี่ ไอศวรรฎา ศิริลักษณ์’ ผู้ครองตำแหน่ง ‘สุดยอดแฟนพันธุ์แท้นางงามจักรวาล’ จากรายการแฟนพันธุ์แท้ ซูเปอร์แฟน ประจำปี 2559
ในอีกมุมหนึ่งเธอคือสาวสวยคนเก่ง ผู้คว้าทุนเต็มจำนวน ซึ่งเป็นทุนให้เปล่าจากรัฐบาลสเปน จากความชอบด้านนางงาม เธอได้ต่อยอดด้านทักษะภาษา และพัฒนาจนประสบความสำเร็จด้านการศึกษาในที่สุด
ด้วยความสามารถที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ เราจึงพาเธอมาเปิดประสบการณ์การเรียนต่อที่สเปนแบบเจาะลึก ทั้งการเตรียมตัวเรียนต่อ, การเลือกหลักสูตร หรือความประทับใจในการเรียนที่ประเทศสเปน รับรองว่าจะช่วยจุดประกายไฟฝันให้น้องๆ ทุกคนที่อยากเรียนต่อแน่นอนค่ะ :)
#1 หาข้อมูลทุนอย่างไร และเตรียมตัวอย่างไร?
“เริ่มชอบภาษามาจากการดูนางงามจักรวาลตอน 6-7 ขวบ เรารู้สึกทึ่ง มองว่าทำไมภาษานี้สวยจังเลย ยิ่งคนที่พูด สวยอยู่แล้ว ยิ่งสวยขึ้นไปอีก สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจ จึงหาทางเรียนเองอย่างจริงจัง
ทุนตัวที่ได้รับคือ Becas MAEC-AECID (ทุนกระทรวงการต่างประเทศและองค์กรความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระดับสากลแห่งราชอาณาจักรสเปน) รู้จักทุนนี้เพราะเชรี่มีเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายด้วยกัน เพื่อนคนนี้จบคณะอักษรศาสตร์ เอกวิชาภาษาสเปน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ทุนไปเรียนก่อน พอกลับมาก็ให้คำแนะนำเชรี่
สำหรับการเตรียมตัว แทบจะเรียกได้ว่าใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตที่สั่งสมมาเลย เป็นประสบการณ์นอกห้องเรียนด้วยนะคะ เพราะเชรี่ไม่เคยมีครูภาษาสเปนมาก่อนเลยในชีวิต เพิ่งจะมีครูจริงๆ จังๆ ก็คือตอนไปเรียนที่สเปนแล้ว“
“ด้วยความชอบภาษาสเปนมาก เชรี่เลยมุ่งมั่นที่จะเข้าคณะอักษรฯ จุฬาฯ (เพราะตอนนั้นการเรียนการสอนภาษาสเปนในระดับอุดมศึกษาในไทย มีที่เดียวคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
แต่น่าเสียดายมาก เชรี่มีปัญหาตรงที่ที่บ้านค่อนข้างจะหวงมาก ไม่อยากให้ไปไหนไกลๆ
และช่วงนั้นเราได้โควตาเดินเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่พอดี เราก็ตั้งใจเรียนที่คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ แต่เชรี่ก็ไม่ทิ้งภาษาสเปนเลย ยังซุ่มเรียนด้วยตัวเองเรื่อยๆ”
“การขอทุนเราเริ่มจากไร้ connection ใดๆ มีแค่เพื่อนที่ส่งข่าวและคำแนะนำมาให้ และทราบว่าต้องมีผลสอบ DELE (Diplomas de Español como Lengua Extranjera) เท่านั้นจึงจะขอทุนนี้เพื่อไปต่อได้ แต่เชรี่ก็ไม่กลัว เราฝึกปรือภาษาสเปนมาทั้งชีวิต มีความตั้งใจและความรักในภาษาอยู่แล้ว
เมื่อ 15 ปีก่อน ไม่มีสนามสอบ DELE ในไทยค่ะ ศูนย์สอบที่ใกล้สุดอยู่ที่ปีนัง มาเลเซีย และต้องผ่านระดับ B2 (ปานกลางค่อนสูง) ขึ้นไปด้วยนะคะ ไม่ใช่ระดับ A1 (เบื้องต้น) ถึงจะใช้เป็นเอกสารเบิกทางเพื่อสอบชิงทุนได้
เชรี่ต้องบินไปสอบ DELE ซึ่งเป็นการสอบเหมือน TOEFL (ภาคภาษาสเปน) มีวัดระดับทั้งทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน โดยทำคะแนนให้ผ่านเกณฑ์ เชรี่ผ่านค่ะ เราจึงใช้ยื่นประกอบสมัครทุน จนชนะในปี 2552 คว้าทุนไปเรียนต่อได้สำเร็จ”
#2 เลือกคณะ หลักสูตร และมหาวิทยาลัยอย่างไร?
“เรารักภาษาสเปนมาก ไม่ยากเลยที่จะตั้งใจเลือกวิชาเอกภาษาสเปนมาเป็นหลักสูตรมหาบัณทิต และหมวดทุนที่ได้รับ ก็คือ ‘ทุนสำหรับบัณฑิตต่างชาติที่ต้นประเทศสังกัดไม่ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ มาเล่าเรียนระดับมหาบัณฑิตและ/หรือดุษฎีบัณฑิตในวิทยาลัย มหาวิทยาลัยในประเทศสเปน’
ตอนแรกที่ตั้งใจจะเลือกมี 2 ทาง คือเลือกมหาวิทยาลัยที่ Madrid หรือจะเป็นที่ Valladolid แต่สุดท้ายก็เลือก Valladolid เพราะอยู่ห่างจาก Madrid ไปเพียง 3 ชั่วโมง ทั้งยังเป็นละแวกที่รู้กันดีว่ามีสำเนียงมาตรฐานของสเปนที่เพราะมากและทรงมาตรฐานที่สุด เราจึงเลือกเรียนที่นี่ ตอนที่แจ้งใน SOP ก็ระบุเจตนารมณ์ด้วยเช่นกัน
แถมเมืองที่เลือกยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่นว่า เป็นที่ประสูติของกษัตริย์ Felipe ที่ 2 เป็นนครหลวงของแคว้น Castilla & Leon ถือว่าเป็นภูมิภาคที่มีความน่าสนใจ และสำคัญมาก พอมาเรียนที่นี่แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ”
#3 ขั้นตอนการขอทุน
“สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับทุน MAEC-AECID คือทางสเปนเลิกประเภททุนที่ให้เด็กไทยไปศึกษาต่อแล้วค่ะ เนื่องจากการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลของทางสเปน รวมทั้งปัจจัยระบบเศรษฐกิจที่เสื่อมถอยลงของยุโรปที่สั่งสมมานาน
แต่ถ้าตั้งใจจะหาทุนไปศึกษาที่สเปนจริงๆ อาจจะต้องมองหาทุนของทางรัฐบาลไทย ทุน Erasmus Mundus หรือทุน Carolina ค่ะ อาจต้องพยายามเกาะติดข่าวมอบทุนต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ สมัยนี้โชคดีมากเพราะมีหลากหลายช่องทางให้เข้าถึง”
“สำหรับเอกสารที่ใช้สมัครทุน MAEC-AECID ของเชรี่ที่ต้องมีคือผลคะแนน DELE รวมทั้งจดหมายการตอบรับ admission จากมหาวิทยาลัยที่เลือกไปเรียนต่อ นอกจากนี้ยังต้องมีจดหมายรับรอง (reference letters) อย่างน้อย 2 ฉบับ
ในตอนนั้น เชรี่ขอความกรุณาจากอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นผู้ลง reference ให้ อีกฉบับหนึ่งเป็นท่านอัยการประจำจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยแปลเอกสารให้แก่ท่าน และท่านเห็นถึงความสามารถและความตั้งใจของเรา เรานำข้อมูลทั้งหมดกรอกลงระบบ จากนั้นก็รอการประกาศผล ซึ่งทางสเปนใช้เวลาพอสมควร”
“ระหว่างที่รอการประกาศผล เชรี่ได้รับการติดต่อจากอาจารย์สังกัด AECID โทรศัพท์มาสัมภาษณ์เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากเราไม่ได้เป็นเด็กที่จบวิชาเอกภาษาสเปนในระดับปริญญาตรีโดยตรง ทางสเปนต้องการทดสอบความสามารถ และให้แน่ใจว่าเชรี่เป็นคนกรอกข้อมูลด้วยตนเองหรือไม่
การถามตอบใช้ภาษาสเปนทั้งหมด และอาจารย์ยังถามอีกว่าหากได้ทุนจริงๆ จะทำอะไร หรือจะกลับมาทำอะไรให้ประเทศไทย เชรี่ระบุชัดเจนไปเลยว่าจะใช้ทักษะวิชาชีพการแปล และการล่าม รวมถึงความรู้ที่จะพอกพูนเพิ่มขณะที่เรียนที่สเปนมาพัฒนาบทเรียน และเผยแพร่ความนิยมในภาษาสเปนในประเทศไทย
เพราะตอนนั้นแม้ภาษาสเปนจะเป็นหนึ่งในภาษาราชการและภาษาสากลของหลายชาติ แต่ในประเทศไทยกลับไม่นิยม การได้ทุนจะเป็นการประชาสัมพันธ์ผ่านเรา
และเมื่อกลับมาประเทศไทย หากมหาวิทยาลัยต่างๆ เปิดรับสมัครคณาจารย์ภาษาสเปน หรือมีโอกาสหน้าที่การงานยังสถานเอกอัครราชทูตชาติที่ใช้ภาษาสเปนประจำประเทศไทย ก็จะสมัครและเผยแพร่ความนิยมตรงนี้”
“จนในที่สุดผลทุนประกาศทาง email เมื่อเดือนกรกฎาคมในปีเดียวกัน มีโทรศัพท์จากทางสถานทูตสเปนให้เรารีบหาเอกสารต่างๆ ให้ครบทันวันออก visa เพื่อเตรียมเดินทางไปเรียน
มีใบรับรองความประพฤติที่ต้องผ่านการรับรองจากสถาบันตำรวจแห่งชาติเท่านั้น เอกสารทางการแพทย์รับรองสุขภาพต่างๆ ทุกอย่างต้องแปลเป็นภาษาสเปนทั้งหมด เชรี่จัดการแปลเองทั้งหมดค่ะ และส่งสถานทูต จากนั้นทางสถานทูตและรัฐบาลสเปนก็ส่งเรื่องให้แก่มหาวิทยาลัย และรอเราเดินทางไปรายงานตัวเท่านั้นเอง”
#4 ประสบการณ์การเรียนที่สเปน และความประทับใจขณะเรียนต่อ
“เราทราบว่าที่นั่นทุกอย่างจะดำเนินช้าไปหมด เข้าทำงานช้า พักเที่ยงก็เริ่มที่ 14.00 น. – 17.00 น. และมีการทำงานภาคบ่ายต่อ 17.00 – 20.00 น. จริงๆ เชรี่ชอบวิถีการใช้ชีวิตที่นั่นมากนะคะ ดูไม่เร่งรีบ
ทีนี้พอถึงเวลาที่มหาวิทยาลัยเปิดเรียน หลักสูตรอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต (การสอนภาษาสเปนในฐานะภาษาต่างประเทศ) ที่ University of Valladolid
หลักสูตรจะเริ่มเข้าเรียนเดือนพฤศจิกายน – พฤษภาคมของปีถัดไป โดยตลอด 6 เดือนนี้ เป็นภาคชั้นเรียน (lecture) ค่ะ เรียน 16.00 – 20.00 น. ทุกจันทร์ – พฤหัสบดี (แบ่งเป็น 2 คาบต่อวัน) แต่ก็จะมีบางศุกร์ของสัปดาห์ที่อาจารย์จะนัดเป็นพิเศษด้วย บางศุกร์ ไม่มีนัดเรียนก็จะเป็นวันหยุดไป”
“ใน class มีเพื่อนคนไทยร่วมด้วยอีก 2 คน มีเพื่อนเป็นนานาชาติ ทั้ง Mexican, Brazilian, Italian, Ukranian, Indian และมีชาว Spanish เจ้าของบ้านรวมอยู่ด้วย มีหลากหลายวิชา ทั้งสนุก ท้าทาย และเครียดปะปนกันไป รายวิชาที่เชรี่ได้เรียนคร่าวๆ มีดังนี้
– วิชาวรรณกรรมสเปน
– สำเนียงและจารีตสเปนในภูมิภาคต่างๆ
– เศรษฐศาสตร์สเปน
– ประวัติศาสตร์สเปน
– ภาษาศาสตร์; Syntax Phonology Morphology
– ทักษะการสอนสื่อภาษาสเปน
– วิชาผลิตสื่อการสอนภาษาสเปน
– อิทธิพลของสเปนต่อประเทศกลุ่มละตินอเมริกา ฯลฯ”
“ทุกคาบเชรี่จะต้องทำการบ้านเพื่อเตรียมนำเสนอหน้าชั้น และมีการสังเกตการณ์การสอนภาษาสเปนตามคลาสต่างๆ เป็นการเรียนที่ค่อนข้างหนัก แต่เขรี่ชอบมาก และมีความสุขกับการเรียนที่นั่น
การไปเรียนหนังสือที่นั่นจำเป็นต้องอาศัยความทุ่มเทมากๆ สำหรับช่วงสอบ หลักสูตรของเชรี่ไม่มีสอบทุกวิชานะคะ จะเน้นที่การนำเสนองาน และส่งงานให้ครบตรงตามเวลา
พอภาคเรียนแรกผ่านไป เดือนมิถุนายนเป็นต้นมาถือเป็นการเรียนภาคฤดูร้อน (summer) ปิดเทอม และเริ่มภาคเรียนที่ 2 นับแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป สำหรับภาคเรียนที่ 2 จะอิสระมาก โดยหลักสูตรและคณาจารย์จะมอบหมายให้เราทำวิจัย และเริ่มทำวิทยานิพนธ์ค่ะ
ซึ่งเชรี่ต้องอาศัยการควบคุมตัวเองอย่างแน่วแน่ จริงจังกับการค้นคว้าและหาข้อมูล และต้องตรงต่อเวลาด้วยนะคะ เพราะว่ามีการนัดพบอาจารย์ที่ปรึกษา รายงานความคืบหน้าวิทยานิพนธ์เป็นครั้งๆ ไป และยังต้องทำเรื่องไปสังเกตการณ์การสอนภาษาสเปนที่ศูนย์ภาษาต่างประเทศประจำเมือง Valladolid ด้วยนะคะ”
“มีอยู่คลาสหนึ่งที่เชรี่ประทับใจมาก คือวิชา Syntax อาจารย์ถามเรื่องหน้าที่ของคำที่แฝงในประโยค โดยยกตัวอย่าง เช่น Alicia es estudiante (Alice is a student) Alicia เป็นประธาน es เป็นกริยา และ estudiante ทำหน้าที่อะไร
เชรี่ตอบได้ว่าเป็น complement ตรงนี้ต้องขอบพระคุณทางมนุษยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ มช. ที่มีวิชา Syntax นี้ในหลักสูตรปริญญาตรี และเรา adapt เอามาใช้ใน class ภาษาสเปนได้ค่ะ”
#5 ทำไมถึงเลือกเรียนต่อ? คิดว่ามีประโยชน์อย่างไร?
“หลายคนมองว่าถ้าคุณทำงานเก่ง นั่นถือเป็นประสบการณ์ มีชั่วโมงบินที่สั่งสม ใครต่อใครก็ยอมรับได้ โดยคนจะมองข้ามความรู้ การศึกษา และใบปริญญาไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เชรี่เชื่อว่าการศึกษาและมีใบปริญญาก็สำคัญ และต้องประกอบคู่กันไปด้วย เพราะการมีประวัติการศึกษาเรียงลำดับเหตุการณ์ในแฟ้มผลงาน และได้รับใบปริญญา มันบ่งบอกเป็นนัยว่าคนๆ หนึ่งมีกระบวนปฏิบัติ ปฏิสัมพันธ์อย่างไร
ทั้งต่อสังคม ผ่านวิธีคิด ผ่านการเข้ากฏระเบียบ รู้จักการอดกลั้น (tolerence) รู้จักเรียนรู้จะยอมรับ (inclusion) ทั้งยังต้องแลกมาด้วยการผ่านการขัดเกลาทั้งองค์ความรู้ และจารีตการอยู่ร่วมสังคม จนได้รับใบปริญญารับรอง
นี่คือสิ่งที่บอกเราว่าทำไมการศึกษาถึงมีประโยชน์ เชรี่เชื่อว่าตราบเท่าเรายังมีพละกำลัง เราควรศึกษาและให้ความสำคัญกับการศึกษาให้มาก โดยส่วนตัวจะแสวงหาโอกาสและเวลา เพราะตั้งใจจะเดินหน้าศึกษาปริญญาเอกต่อไปค่ะ”
#6 สุดท้ายนี้พี่เชรี่อยากให้กำลังใจและฝากถึงน้องๆ ทุกคนที่อยากไปเรียนต่อ
“ช่วงนี้เราพบเจอกับสถานการณ์โรคระบาด อาจจะเป็นอุปสรรคให้ย่อท้อไปบ้าง บางสถาบันก็ถึงขั้นงดทุน เพิกถอนทุนก็มี แต่เชรี่เชื่อว่าถ้าสถานการณ์คลี่คลาย การเปิดมอบทุนตามองค์กร สถาบันต่างๆ น่าจะกลับมาตามเดิมนะคะ
สำหรับน้องๆ หรือแม้แต่ใครก็ตามที่มีความฝันจะสานต่อด้านการศึกษาต่อ เชรี่เชื่อว่าให้เราเฝ้าติดตามข่าวการศึกษา มอบทุนต่างๆ อย่างใกล้ชิด ถ้าโอกาสมาก็ขอให้รีบจัดการ และลงมือทำค่ะ
ผลที่ได้จะออกมาสมหวัง หรือพลาดหวัง ไม่เป็นไร สิ่งที่ดีใจคือเราได้ลงมือทำแล้ว และถ้าทุนจะเป็นของเราจริงๆ เราสามารถลองใหม่ได้เรื่อยๆ จนกว่าจะพ้นเกณฑ์ที่เจ้าของทุนกำหนด ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ ถ้าเราลงมือค่ะ”