ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้พรมแดน “ภาษาอังกฤษ” คือหนึ่งในกุญแจที่นำเราไปสู่ความสำเร็จ
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีช่องทางการเรียนรู้มากมายให้เลือกตามความสนใจ แต่เด็กไทยหลายๆ คนก็ยังประสบปัญหากับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้เชี่ยวชาญ ดังนั้นในวันนี้เราจึงอยากจะชวนคุณมาทำความรู้จักกับ “ครูพี่แอน – วรินธร เอื้อวศินธร” ติวเตอร์คนเก่งเจ้าของเพจ Perfect English กับครูพี่แอน ที่เป็นไอดอลของใครหลายๆ คนในขณะนี้
กว่าจะมาเป็นครูพี่แอนที่มีเด็กๆ ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน สาวเก่งคนนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง? นี่คือเรื่องราวของเธอที่เราอยากจะให้คุณได้ลองอ่าน
จุดเริ่มต้นของการเรียนภาษาอังกฤษ
ครูพี่แอนเล่าว่า สมัยที่เธอยังเด็ก เธอเป็นคนที่อินกับวัฒนธรรมตะวันตกเอามากๆ อย่างเวลาดูหนังก็จะชอบดูหนังฝรั่ง เพราะได้รับอิทธิพลจากพี่ชายที่ชอบชวนเธอให้ดูไปด้วยกัน
เวลาฟังเพลง เธอจะชอบเพลงสากลมากกว่าภาษาอื่นๆ สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เธอรู้สึกหลงใหลในภาษาต่างประเทศ และทำให้รู้สึกว่าเวลาเห็นคนพูดภาษาอังกฤษมันมีเสน่ห์
หนึ่งในจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง มาจากการที่ได้รับชมรายการอย่าง MTV ที่มี DJ คนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้ เธอรู้สึกว่าคนเหล่านี้ดูดีและเจ๋งกว่าคนที่พูดได้แค่ภาษาไทย
ซึ่งนั่นทำให้เธอตั้งเป้าหมายอยากกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์แบบคนเหล่านี้ จนกลายเป็นแรงกระตุ้นให้อยากเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม
ไม่ใช่คนเก่งตั้งแต่จุดเริ่มต้น
พอเราถามย้อนกลับไปในช่วงวัยเรียน ครูพี่แอนเล่าว่าเธอสนใจภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กก็จริง แต่เธอนั้นไม่ใช่คนที่เรียนเก่งเลย
“จริงๆ มันก็แปลกนะ ทั้งที่เราชอบ เราหลงใหลคนที่พูดภาษาอังกฤษ แต่พอถึงเวลาเรียนในห้องเรียนเรากลับรู้สึกต่อต้านเพราะว่ามันไม่มีเสน่ห์เลย มันเหมือนกฎมันเยอะเกินไป“
ถ้าจะเล่าให้เห็นภาพ เธอสนใจภาษาอังกฤษจากหนัง และบทเพลง ทว่าในห้องเรียนเธอกลับไม่ชอบการนั่งอ่านตำราหรือท่องโครงสร้างไวยากรณ์ โดยให้เหตุผลว่า
“กฎมันเยอะ เวลาครูสอนก็จะค่อนข้างเข้มงวด ตรงนี้ต้องเติมแบบนั้นแบบนี้ จนเรารู้สึกว่ามันอยู่ในกรอบเกินไป ซึ่งพี่แอนเนี่ย ตั้งแต่สมัยเด็กแล้วเราเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรตามกรอบ ก็เลยรู้สึกว่าไม่ชอบแกรมม่า ณ เวลานั้น“
ประสบการณ์ที่ประทับใจ และทำให้มีไฟในการพัฒนาตัวเอง
ความที่เป็นคนชอบเสพย์สื่อภาษาอังกฤษ ทำให้ครูพี่แอนค่อนข้างเป็นดาวเด่นเมื่อต้องใช้ทักษะนี้ เธอเล่าว่าสมัยก่อนเด็กที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องหรือพูดได้เหมือนเจ้าของภาษายังมีน้อยมาก ดังนั้นเมื่อมีการประกวดหรือแข่งขันทักษะด้านการพูด เธอจึงจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเสมอ
“มันทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย การที่เราพูดภาษาอังกฤษได้ มันเหมือนเป็นการเปิดโอกาสดีๆ ให้ชีวิตโดยที่เราแทบจะไม่ต้องขวนขวายหรือพยายามอะไรมากมายเมื่อเทียบกับคนอื่น“
ครูพี่แอนเล่าเสริมด้วยว่า หลังค้นพบพลังของภาษา เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นมุมมองใหม่ๆ และช่องทางที่จะได้รับโอกาสดีๆ ที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต และมันนำเธอไปสู่การเรียนในสิ่งที่เคยไม่ชอบ
“จากจุดนั้น มันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เรารู้สึกว่า งั้นถ้าจะเก่ง ก็ต้องเก่งให้มันสุด อย่าเก่งแบบครึ่งๆ กลางๆ
หลังจากนั้นมันเลยมีไฟที่จะศึกษาเพิ่มเติมโดยเฉพาะเรื่องของแกรมม่าค่ะ จากที่เกลียด ก็รู้สึกว่า เอาล่ะ เราหันมาทำความเข้าใจมันกันดีกว่า”
คำสบประมาทที่กลายเป็นจุดเล็กๆ ฝังลึกในหัวใจ
จากที่อ่านมา อาจดูเหมือนว่าชีวิตของครูพี่แอนราบรื่นไปเสียทุกอย่าง เพราะการเรียนรู้มีจุดเริ่มต้นมาจากความชอบ แถมคนรอบข้างก็ชื่นชมใช่ไหม? ทว่าอีกมุมหนึ่ง เมื่อคุณเป็นคนเก่งในสายตาคนอื่นๆ ความคาดหวังที่ต้องแบกรับก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ช่วงที่เรียนอยู่ชั้นม.4 ครูแอนเคยสอบชิงทุนฯ ได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาหนึ่งปี เมื่อกลับมาเธอยิ่งกลายเป็นคนที่เพื่อนๆ รุมล้อมเพราะค่านิยมสมัยนั้นทำให้หลายคนรู้สึกว่าคนที่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศมีทั้ง “ความเจ๋ง” และดู “เท่” กว่าคนอื่นๆ
ในขณะเดียวกัน เพื่อนๆ รวมถึงคุณครูต่างก็คาดหวังว่าคนที่พึ่งกลับมาจากเมืองนอก คงจะเก่งภาษาอังกฤษยิ่งกว่าใคร นั่นทำให้เมื่อถึงเวลาสอบเรื่องแกรมม่า ผลคะแนนที่ได้น้อยจนเกือบจะเป็นที่โหล่ทำให้คนรอบข้างผิดหวังในตัวครูแอน จนถึงกับถามว่า “เฮ้ยทำไมอะ ไปเรียนเมืองนอกมา ทำไมแกรมม่าไม่ได้เลย ทำไมเป็นแบบนี้“
สิ่งที่สร้างรอยแผลเล็กๆ ให้เกิดขึ้นในหัวใจ คือการที่คุณครูของเธอเองได้กล่าวเชิงหยอกว่า “นี่เธอไปเรียนเมืองนอกมาจริงหรือเปล่าเนี่ย” แม้จะเป็นเพียงประโยคที่ฟังแล้วอาจไม่มีอะไร แต่มันทำให้ครูแอนในเวลานั้นเสียใจอย่างมาก
“นี่เป็นจุดนึงที่ทิ่มแทงหัวใจนะว่า เฮ้ย ทำไมคนให้ความสำคัญกับแกรมม่ามากขนาดนั้น เค้าไม่ได้สนใจเลยเหรอว่าเราสามารถสื่อสารกับฝรั่งได้นะ บางคนเก่งแกรมม่ากว่านี้แต่ยังคุยกับฝรั่งไม่ได้เลย“
“มันทำให้เราเข้าใจว่า คนไทย หรือแม้แต่ครูหลายๆ คนให้ความสำคัญกับไวยากรณ์จนกระทั่งบางทีมองข้ามความสามารถของคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้จริงๆ ไป
ซึ่งอันนี้เป็นจุดที่ทำให้ท้อใจมาก เสียใจจนอยากบินกลับไปเรียนต่อที่อเมริกาเลย เพราะคิดว่าอยู่ไทยแล้วทำไมเจอแต่คำพูดแบบนี้“
การเปลี่ยนแปลงคือรากฐานของความเก่ง
แม้จะเสียใจกับคำพูดเหล่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ครูแอนกลายมาเป็นครูพี่แอนในวันนี้ คือนิสัยนักสู้ที่มีอยู่ในตัว
ตั้งแต่เด็ก เมื่อรู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนที่ตรงไหน เธอจะไม่เอาจุดนั้นมากดให้ตัวเองรู้สึกจมลง แต่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่เธอสามารถพัฒนาตัวเองได้ ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน นับตั้งแต่รู้ว่าแกรมม่าคือจุดอ่อน เธอจึงหันไปให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากกว่าส่วนอื่นๆ
“ข้อดีของการรู้จุดอ่อนคือ มันทำให้เรารู้ว่าควรแก้ที่ตรงไหน ดังนั้นพอเรารู้ว่าการสนทนาเราดีแล้ว เราก็จะไปเน้นศึกษาแกรมม่าเพิ่มเติม นี่เป็นจุดเปลี่ยนเลยนะ พี่แอนเอาคำดูถูก คำสบประมาทที่ได้รับมาเป็นไฟในการพัฒนาแกรมม่าเพราะเรารู้ว่าเราบกพร่องในด้านนี้จริงๆ”
การสอนภาษาอังกฤษมอบอะไรให้บ้าง?
หลังจากผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่สอนลูกศิษย์คนแรก มาวันนี้ครูพี่แอนได้กลายเป็นติวเตอร์ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ โดยเธอเล่าว่าการสอนในทุกๆ ครั้งมอบอะไรกลับมาอย่างมากมาย เช่น “ความรู้” และ “ความภาคภูมิใจ”
“มันก็แปลกดีเนอะที่ว่าเป็นครู แต่ทำไมถึงได้ความรู้เพิ่มจากการสอนคนอื่น นั่นเพราะบางทีเราสอนในเรื่องที่เราคิดว่าเราเข้าใจดี แต่เวลาที่สอนนักเรียนเราได้เจอคำถามในอีกหลายแง่มุม เช่น ทำไมตรงนั้นต้องใช้แบบนั้น ทำไมใช้แบบนี้ไม่ได้…
มันทำให้เรารู้ว่า เออว่ะ คำถามของนักเรียนหลายๆ คำถาม มันทำให้เราต้องกลับมาทบทวนเพื่อหาคำตอบให้เค้า จนครูพี่แอนได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเยอะมากจากการสอนภาษาอังกฤษ เรียกได้ว่าเก่งขึ้นในทุกๆ ครั้งที่สอนเลยค่ะ“
ความภูมิใจที่ได้สอน และทำได้เห็นหลายๆ คนมีชีวิตที่ดีขึ้น จนนำไปสู่ความสุข
“อย่างที่หลายๆ คนรู้ พี่แอนมีสอนแบบไลฟ์สด สอนฟรี ไม่ได้เปิดแค่คอร์สที่ต้องให้คนมาเสียเงินเรียนอย่างเดียว
ถามว่าทำไปทำไม ไม่กลัวคนไม่มาลงคอร์สเหรอ บอกตรงๆ ว่าไม่กลัวนะ เพราะทุกครั้งที่สอน เรามีความสุขที่ได้เป็นคนให้ ได้เห็นหลายๆ คนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากการมาเรียนไลฟ์สดกับเรา
“ถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเค้าเก่งขึ้น ก็ดูจากเวลาไลฟ์สด เราจะเห็นชื่อนักเรียนขึ้นตอนที่เค้าคอมเมนท์
ครั้งแรกๆ บางคนอาจจะตอบผิดตอบถูก ลืมจุดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการใส่ฟูลสต็อบ (.) แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนสองเดือน เราเห็นได้เลยว่าเค้าเป๊ะมาก ทั้งแกรมม่าและรายละเอียดอื่นๆ”
“มันเกิดเป็นความภูมิใจที่ว่าเราได้เปลี่ยนชีวิตของใครหลายคนให้ดีขึ้นจากการที่เราได้มาไลฟ์สอนสดแบบนี้ เป็นความสุขอย่างนึงนะ“
มุมมองต่อการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทย
ในฐานะที่สอนลูกศิษย์มาหลายรุ่น และคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการสอนภาษาอังกฤษมานานหลายปี เราจึงรู้ว่าครูพี่แอนคิดเห็นอย่างไรกับการศึกษาของเด็กไทยในทุกวันนี้ และมุมมองของเธอน่าสนใจมากทีเดียว
“ครูแอนรู้สึกว่า ณ ตอนนี้หลักสูตรภาษาอังกฤษในโรงเรียนไทยยังเน้นการเรียนเพื่อสอบมากเกินไป สังเกตจากหนังสือเรียนที่ออกโดยกระทรวงศึกษาฯ แทบจะทุกโรงเรียน มันเน้นเป็นการจำหมดเลย แทบจะไม่มีการอธิบายที่เน้นการทำความเข้าใจ
เด็กๆ จะไม่ถูกสอนว่า เรื่องนี้เรียนไปแล้วใช้ทำอะไรได้บ้าง สำคัญยังไง คือแทบจะไม่มีคำอธิบายเลย ถึงเวลาปุ๊บ ก็มาสอนหลักทฤษฎีเลย ท่องๆ กันไป เด็กก็ไม่เข้าใจว่าแล้วเราต้องเรียนไปทำไม มันเลยทำให้เด็กหลายคนไม่ตั้งใจเรียน เพราะแบบนี้”
“ก็เหมือนกับคุณให้เค้าเดินไปเรื่อยๆ โดยที่เค้าไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายอยู่ตรงไหน คุณไม่บอกเค้าเลยว่าเดินไปแล้วจะได้อะไร เพราะฉะนั้นเด็กที่ไหนมันจะมีแรงมีไฟในการเดิน
ทั้งหมดมันมีแค่การที่คุณหลอกล่อเค้าด้วยการไปทำข้อสอบ แล้วหลังจากทำข้อสอบเสร็จ เกิดอะไรขึ้น? เค้าก็จะทิ้งทุกอย่างเพราะถือว่าบรรลุเป้าหมายใยการสอบนั้นแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีจริง
เพราะสุดท้ายเวลาคุณไปเรียนหรือไปทำงาน เวลาสื่อสารกับชาวต่างชาติ เค้าให้คุณทำข้อสอบหรือให้คุยกับเค้า?
เค้าต้องการให้คุณสื่อสาร ตอบอีเมล หรือพรีเซ็นงานเป็นภาษาอังกฤษให้ได้ ไม่ใช่การให้คุณมาทำข้อมอบแล้วดูว่าคุณทำได้คะแนนเต็มหรือเปล่า จริงมั้ยคะ ฉะนั้นพี่แอนยังมองว่ามันเป็นความล้มเหลวในการเรียนอยู่นะ“
ถ้าได้ออกแบบหลักสูตรการเรียน ครูพี่แอนวางแผนไว้อย่างไร?
“หนึ่งคือพี่แอนจะเพิ่มหลักสูตรของการสนทนาเข้าไปค่ะ เพราะว่าทุกวันนี้ถ้าเราไปดูตามตารางเรียนของนักเรียนไทยจริงๆ นะคะ คลาสการสนทนายังมีน้อยมาก วิชาภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เน้นเปิดหนังสือแล้วเรียน จะไม่ได้เน้นให้เด็กได้มีโอกาสที่จะสื่อสารพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษกันจริงๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ปัจจุบันเด็กไทยเวลาเจอฝรั่งเกือบ 95% ยังวิ่งหนีอยู่เลย ดังนั้นครูแอนเลยอยากจะเสริมคลาสเรียนสนทนาที่เด็กจะได้ฝึกสนทนาจริงๆ ได้พูดและได้ฟังจริงๆ
สอง ถามว่าแกรมม่ายังจำเป็นมั้ย บอกเลยว่าจำเป็นมาก เพราะภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่หนึ่งของเรา ดังนั้นเราต้องเรียนรู้แกรมม่าของเค้าไว้เพื่อนำไปต่อยอดในการสร้างประโยค
หลังจากที่เราสร้างประโยคภาษาอังกฤษได้ เราจะเขียนได้ เราจะอ่านเข้าใจ เราจะฟังรู้เรื่อง แล้วเราจะพูดได้ เพราะเราสามารถสร้างประโยคขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง
แต่คอร์สแกรมม่าของพี่แอนจะไม่ได้เน้นความถูกผิด เราจะไม่บอกเด็กว่าตรงนี้ผิดนะ แต่จะบอกว่าถ้าใช้แบบนี้ไม่ได้ผิดนะ แต่ความหมายจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้
คือต้องการให้เปลี่ยนมายเซ็ทของเด็กไทยเพื่อให้เค้าเข้าใจว่าภาษาอังกฤษมันไม่ได้เคร่งขนาดนั้น มันสามารถยืดหยุ่นได้
ถามว่าถ้าเราไม่ได้พูดตรงตามโครงสร้างเป๊ะๆ ฝรั่งจะเข้าใจมั้ย? เข้าใจ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องเคร่งและตำหนิเด็กว่าทำไมถึงเขียนผิด
เพราะงั้นในส่วนของแกรมม่า พี่แอนเลยอยากจะสอนให้เขาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มากกว่าสอนให้จำแล้วนำไปสอบ“
ทำอย่างไรให้มีความกล้าในการพูดกับฝรั่ง?
จากประเด็นเรื่องความกลัวที่มีต่อการสื่อสารกับชาวต่างชาติ ครูพี่แอนให้ความคิดเห็นไว้ว่า สิ่งแรกที่ผู้ใหญ่ควรตั้งคำถามคือ “ทำไมเด็กถึงกลัว?”
“มันไม่มีทางเลยที่เด็กเกิดมา ไม่มีใครสอนอะไรเค้าเลย แล้วเค้ามากลัวภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ไม่ใช่…“
หากถามว่า แล้วครูแอนคิดว่าทำไมเด็กถึงไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ? เธอคิดว่าความกลัวอาจเริ่มต้นจากห้องเรียน
“ยกตัวอย่างจากเรื่องง่ายๆ A , An ,The เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญมาก คุณให้เค้าทำ 10 ข้อพอเด็กทำผิดทำถูกแล้วโดนตำหนิ
ทีนี้ พอมันเกิดบ่อยเข้าๆ เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้ารู้สึกว่า แค่ลืมเติมตัวเดียวกลายเป็นว่ามันผิดทั้งหมด ความหมายมันไม่ได้เลยใช่มั้ย แล้วหลังจากออกจากห้องเรียน เค้าจะจำฝังใจว่าภาษาอังกฤษมันยากจังเลย กฎเยอะจังเลย
พอถึงเวลาจะพูดจริงๆ ก็จะเกิดความกลัวเพราะคิดเยอะว่าทำอย่างไรให้ถูกต้อง แล้วทำให้ไม่มั่นใจ ครูแอนมองว่าไอ้ความไม่มั่นใจที่เราฝังให้เด็กเยอะๆ ผ่านคำตำหนิ ผ่านการบอกว่าเค้าทำผิดซ้ำๆ นี่แหละ ทำให้เค้าเกิดความเครียด แล้วก็กลายเป็นความกลัว“
สิ่งแรกที่เธออยากเปลี่ยนหากทำได้ คือการสร้างแนวความคิดใหม่ให้เด็กๆ รู้สึกว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่สิ่งที่เคร่งครัดมากขนาดนั้น เราสามารถเรียนรู้ได้ และการสื่อสารจริงๆ แล้วแม้ไม่ถูกตามหลักการแต่อีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจ ดังนั้นหากเด็กๆ มีความมั่นใจ พวกเขาก็จะไม่กลัวอีกต่อไป
“เป็นกันใช่มั้ยคะ เวลาต้องขึ้นพรีเซนต์งานอะไรสักอย่าง ถ้าเราไม่มั่นใจ เราจะกลัวที่จะขึ้นไปพูด แต่ถ้าวันนั้นเราเตรียมตัวมาอย่างดี เราจะกล้าที่จะพูดต่อหน้าใครก็ได้เพราะเรามั่นใจ
ดังนั้นสิ่งที่อยากจะเสริมให้กับเด็กไทยในทุกวันนี้คือความมั่นใจ ให้เค้ารู้ว่าภาษาดิ้นได้ แม้แกรมม่าไม่เป๊ะ แต่ฝรั่งก็เข้าใจ ครูแอนว่าถ้าเราปลูกฝังตรงนี้ให้เด็กได้ เค้าจะมีความกล้ามากขึ้นจริงๆ นะที่จะพูดภาษาอังกฤษ“
การล้อสำเนียงการพูด อีกหนึ่งปัญหาที่ไม่ควรละเลย
อีกหนึ่งประเด็นที่เราได้มีโอกาสพูดคุย และเชื่อว่าเป็นปัญหาที่หลายๆ คนได้พบเจอ คือการถูก “ล้อเลียน” เรื่องสำเนียงเวลาพูดภาษาต่างประเทศ นี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ความมั่นใจของคนพูดลดน้อยลง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะหากฝ่ายที่ติติง เป็นครูผู้สอน
“เด็กๆ หลายคนมักจะเล่าให้ฟังว่าเค้าพยายามที่จะพูดภาษาอังกฤษนะ แต่ครูที่โรงเรียนชอบล้อสำเนียงเค้า…
ครูแอนอยากจะฝากว่าคนที่เป็นครูอะ จริงๆ แล้วคำพูดของคุณมันทรงพลังมากเลยนะ คุณว่าเด็กแค่ครั้งเดียวใช้เวลา 1 วินาที แต่เค้าอาจจะจำไปเป็น 10 – 20 ปีเลยก็ได้นะ คำพูดของคุณอาจจะเปลี่ยนชีวิตของเค้าไปเลยก็ได้
เพราะฉะนั้นเรื่องของการล้อเลียนสำเนียง ตรงนี้อยากให้ช่วยกัน เพราะเราเป็นคนไทยการที่เรามีสำเนียงไม่เหมือนฝรั่งมันเป็นเรื่องปกติมากๆ ไม่จำเป็นต้องล้อเลียนกัน”
“ถ้าหากว่าเราสามารถปรับมายเซ็ทสองเรื่องนี้ได้นะ ครูแอนว่ามันจะทำให้เรามีความกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษได้จริงๆ“
อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังพยายามเพื่อการเรียนภาษา
“อยากฝากถึงทุกๆ คนว่า ถ้าภาษาอังกฤษมันง่ายมากๆๆ ป่านนี้คนไทยทุกคนคงเก่งภาษาอังกฤษไปแล้ว
ฉะนั้นมันก็จะมีในส่วนที่ทั้งง่ายและยากปนกันไป อยากให้ทุกคนสู้กับมัน เพราะสุดท้ายแล้วภาษาอังกฤษมันคือสะพานที่จะเชื่อมต่อเราให้ไปสู่ความสำเร็จได้เร็วกว่าคนอื่น
พี่แอนอยากให้น้องๆ เป็นคนที่ได้เปรียบในทุกโอกาสค่ะ :)“
จะเห็นได้เลยว่า “กว่าจะมาเป็นครูพี่แอน” ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้จะมีใจรักภาษาอังกฤษเป็นทุนตั้งต้น เพราะสำหรับติวเตอร์คนนี้ เธอเองก็เคยผ่านน้ำตา การลองผิดลองถูก หรือการค้นหาแนวทางของตัวเองมาอย่างนับไม่ถ้วน แม้ทุกวันนี้เธอก็ยังไม่หยุดที่จะตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างตัวเองที่ดีกว่าในทุกๆ วัน
เชื่อเลยว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่รู้สึกท้อได้กลับมาฮึบสู้อีกครั้ง เพราะวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อโอกาสมาถึง และคุณเตรียมตัวเองจนพร้อมในจุดนั้น ทุกอย่างที่คุณใฝ่ฝันจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน :)