หากคุณคิดว่าคุณสามารถใช้ “due to” และ “because of” แทนกันได้นั้น โปรดระวังให้ดี!! ก่อนอื่นต้องมาเรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกด้านไวยากรณ์ของทั้งสองคำนี้กันก่อน
ไวยากรณ์อาจเป็นเรื่องยุ่งยากแต่ถึงอย่างนั้นก็จำเป็นสำหรับการเรียนภาษา การใช้คำว่า “due to” และ “because of” วลีทั้งสองชี้ไปที่ความสัมพันธ์ของเหตุและผล แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยที่ต้องรู้ ไปเรียนรู้กันเถอะ :D
“due to” และ “because of” แตกต่างกันอย่างไร?
เมื่อต้องเป็นการเขียน หลายคนมักเลือกใช้ “due to” มากกว่า “because of” เพราะมันทั้งสั้น ไพเราะ และดูเป็นทางการมากกว่า แต่หากอ้างอิงตามหลักไวยากรณ์แล้วนั้น “due to” อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องเสมอไป
ในทางเทคนิค “due to” ควรใช้ในฐานะคำคุณศัพท์ (adjective) ที่ต้องตามหลังคำนามเท่านั้น ตัวอย่างเช่น “The cancellation was due to rain.” จะเห็นได้ว่า “Cancellation” เป็นคำนาม และ “due to” ถูกใช้ตามหลังในรูปคำคุณศัพท์เพื่ออธิบายเหตุและผล
ในทางกลับกัน คำว่า “because of” มักจะถูกใช้คู่กับคำกริยา (verb) และต้องใช้คำนาม (noun) ตามหลังเสมอ ตัวอย่างเช่น “The game was canceled because of rain.” จะเห็นได้ว่าคำกริยาวลีคือ “Was canceled” ด้านหลังคำกริยานี้จึงต้องเลือกใช้ “because of” ถึงจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง
วิธีง่ายๆ ในการจำ
“due to” สามารถใช้คำว่า “caused by” แทนได้ เช่น “A cancellation can be caused by rain.”
แต่ “because of” ไม่สามารถใช้ “caused by” แทนที่ได้ เช่น “It was canceled caused by rain.” จะเห็นได้ว่าประโยคนี้ฟังดูไม่สมเหตุสมผล
ตัวอย่างเพิ่มเติม
ประโยคที่ถูกต้อง: The business failed because of its poor location.
ประโยคที่ผิด: The business failed due to its poor location.
ประโยคที่ถูกต้อง: The business’s failure was due to poor location.
ประโยคที่ผิด: The business’s failure was because of poor location.
แน่นอนว่าภาษาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและผู้เชี่ยวชาญด้านไวยากรณ์หลายคนแย้งว่ากฎ “due to” vs. “because of” ไม่จำเป็นอีกต่อไป
ในการพูดในชีวิตประจำวันคุณอาจไม่จำเป็นต้องรู้สึกประหม่าในการใช้คำที่ “ผิด” แต่ถ้าคุณรู้ว่าจำเป็นต้องเขียนงานที่เป็นทางการ หรือส่งอีเมลอย่างเป็นทางการถึงเจ้าของภาษา การเลือกใช้คำให้ถูกนั้นย่อมเป็นเรื่องดี ^^
ที่มา: rd