ย้อนกลับไปเมื่อราว 144 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องเล่าของหญิงสาวที่ลึกลับที่สุดแห่งศตวรรษกึกก้องไปทั่ววงสังคม บ้างก็ว่าเธอเป็นสาวนักเต้น บ้างก็ว่าเธอเป็นโสเภณี หรือแม้กระทั่งสายลับและคนทรยศ ที่สุดแล้วชื่อเสียงของ Mata Hari ได้รับการจารึกไว้อย่างลึกลับและหลากหลาย จนทำให้เหล่านักวิจัยประวัติศาสตร์พากันฉงนเมื่อต้องค้นหาเรื่องราวของเธอมาจนถึงทุกวันนี้
ชื่อเต็มๆ ของหญิงสาวคนนี้คือ Margaretha Geertruida Zelle ต่อมาจึงได้เป็นที่รู้จักในนาม Mata Hari เกิดในเมือง Leeuwarden ของเนเธอร์แลนด์ เป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาลูกทั้ง 4 คนของ Adam Zelle และ Antje van der Meulen
ครอบครัวที่มีฐานะนี้เป็นเจ้าของร้านขายหมวกและลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน ดังนั้นในวัยเด็ก Mata Hari จึงได้มีโอกาสร่ำเรียนในโรงเรียนสำหรับชนชั้นสูง จนกระทั่งหลายปีต่อมาคุณพ่อของเธอกลับล้มละลายและหย่าร้างในขณะที่ Mata Hari อายุได้เพียง 15 ปี นั่นจึงเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนเมื่อครอบครัวที่สมบูรณ์แบบล้มเหลวลง
คุณพ่อส่ง Mata Hari ไปอยู่กับพ่อทูนหัวของเธอในเมืองใกล้ๆ ที่นั่นเธอได้เริ่มเรียนรู้การเป็นครูอนุบาล สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเรื่องดีหากไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นไม่นานครูใหญ่เริ่มจีบเธออย่างหนักจนทำให้พ่อทูนหัวไม่พอใจและพาหญิงสาวออกจากสถาบัน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าไม่กี่เดือนหลังจากนั้นเธอได้หนีออกจากบ้านและไปอาศัยอยู่กับคุณลุงในกรุงเฮก
Mata Hari ในวัย 19 ปีได้เข้าพิธีวิวาห์กับ Rudolph MacLeod วัย 39 ปีผู้ซึ่งลงประกาศในหนังสือพิมพ์ว่าเขากำลังมองหาหญิงสาวที่จะมาเป็นภรรยา และ Mata Hari ซึ่งกำลังมองหาอิสระในชีวิต คู่รักที่อายุห่างกันถึง 20 ปีจึงได้พบกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งคู่ย้ายไปอยู่ที่เกาะชวาจนกระทั่งมีลูกชายและลูกสาว Mata Hari จึงได้รู้ว่าสามีเป็นชายเจ้าชู้ที่มีสาวๆ คอยปรนนิบัติอย่างเปิดเผย หญิงสาวซึ่งไม่สามารถยอมรับในความสัมพันธ์นี้ได้จึงทิ้งสามีคนเดิมและเริ่มคบหากับเจ้าหน้าที่ชาวดัตช์อีกคน
ระหว่างนั้น เธอเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีและการเต้นรำของชาวอินโดนีเซีย หลังจากนั้นไม่นานเธอได้เข้าร่วมกลุ่มเต้นรำในท้องถิ่นและมีชื่อบนเวทีว่า Mata Hari ซึ่งแปลได้ว่า “eye of the day”
แม้ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะไม่กลับมาเป็นดังเดิม แต่อดีตสามีกลับพยายามที่จะโน้มน้าวใจให้เธอกลับไปใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง ทว่าจากปัญหาต่างๆ ที่เผชิญทำให้ Mata Hari หันไปให้ความสนใจกับวัฒนธรรมท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งในปี 1899 มีข่าวร้ายนำมาสู่ครอบครัวเมื่อลูกชายของพวกเขาเสียชีวิตจากโรคระบาด และอีกหลายปีต่อจากนั้น ลูกสาวก็เสียชีวิตตามไป
Mata Hari ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ปารีสโดยไร้ทรัพย์สินติดตัว เธอได้งานในคณะละครสัตว์และใช้ชื่อ Lady MacLeod ในการทำงาน ทว่าเพียงไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ตัดสินใจหางานอื่นในฐานะนักเต้นแทน
เพื่อสร้างความลึกลับ Mata Hari ได้สร้างตำนานมากมายเกี่ยวกับตัวเธอเอง นอกจากนี้นักวิจัยบางคนยังวิเคราะห์กันว่าเธอสวมชุดถักบางๆ เพื่อสร้างเสน่ห์น่าค้นหาให้กับตัวเธอเองอีกด้วย
Mata Hari กลายเป็นคนดังอย่างรวดเร็วไม่ใช่แค่ในปารีส แต่ยังในเมืองหลวงอื่นๆ ของยุโรปด้วย ถึงกับมีชื่อของเธอปรากฏบนกล่องคุกกี้ของชาวดัตช์ ขนมอื่นๆ และตราไปรษณียากรเลยทีเดียว พ่อของเธอได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตลูกสาวจนกลายเป็นเศรษฐีและทำให้ Mata มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง Mata Hari ก็เลิกอาชีพนักเต้นและกลายไปเป็นโสเภณี นี่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในจุดพลิกผันของเธอเลยก็ว่าได้ และด้วยอาชีพนี้ทำให้ Mata Hari มีความสัมพันธ์กับชายระดับสูงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลอื่นๆ
ชีวิตที่หรูหรา เต็มไปด้วยของขวัญราคาแพงและหนี้สินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อก่อนหน้านี้เธอคือหญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยศิลปะ ทว่าในช่วงแห่งสงครามผู้คนมองว่าเธอเป็นดาวยั่วที่อันตราย ดังนั้นแล้ว Mata Hari จึงต้องโยกย้ายไปตามเมืองต่างๆ ทั่วยุโรป ท่ามกลางจับตาดูของหน่วยสืบราชการลับของฝรั่งเศสและเยอรมนี
ในปี 1916 เธอได้พบกับกัปตัน Maslov แห่งรัสเซียและตกหลุมรักเขา น่าเศร้าที่เขาเข้าร่วมการรบและสูญเสียดวงตาไปหนึ่งข้าง จนทำให้เธอตัดสินใจที่จะร่วมสอดแนมฝรั่งเศสให้กับชายที่เธอรัก
Mata Hari วางแผนล่อลวงเจ้าชาย Wilhelm แห่งเยอรมนีเพื่อล้วงข้อมูล จนกระทั่งในปี 1916 เธอเดินทางไปยังกรุงมาดริดเพื่อขอพบเจ้าชายก่อนที่ฝรั่งเศสจะรู้ว่าเธอเป็นสายลับสองหน้าจากการดักฟังวิทยุข่าวกรอง นั่นทำให้เธอถูกจับในโรงแรมแห่งหนึ่งและถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าการสอดแนมของเธอนำไปสู่ความสูญเสียที่ต้องรับผิดชอบ
Mata Hari ได้สาบานต่อผู้สืบสวนว่าเธอภักดีต่อฝรั่งเศสมาทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม Margaretha Zelle ถูกตัดสินว่ามีความผิด ซึ่งในช่วงสุดท้ายของชีวิต ทนายความของเธอแนะนำให้โกหกว่าตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามเธอปฏิเสธข้อเสนอนั้น
หลังจากถูกประหารชีวิต ศพของ Mata Hari ถูกมอบให้กับโรงละครกายวิภาคศาสตร์ในปารีส จนกระทั่งในปี 2000 ได้มีการค้นพบว่าศพของเธอหายไปอย่างไร้ร่องรอยในระหว่างการย้ายพิพิธภัณฑ์ รวมถึงสิ่งที่น่าสนใจก็คือเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับคดีของ Mata Hari (1,275 หน้า) ไม่ได้รับการรับรองโดยทางการฝรั่งเศสจนถึงปี 2017
100 ปีหลังจากการประหารชีวิตของ Mata Hari หญิงสาวผู้ลึกลับและเต็มไปด้วยเรื่องเล่าขานได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับวงการภาพยนตร์และมีหนังของเธอให้ได้รับชม เพื่อบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งบนโลกเคยมีหญิงสาวคนนี้
ที่มา: brightside