“ไขมันและความอ้วน” เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้คนในยุคปัจจุบันเจ็บป่วยกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือวิถีการกินที่เน้นแต่ของหวานและของที่มีอัตราไขมันสูง
เมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ของ BBC ไทย ได้รายงานว่าพบชายที่ไขมันในเลือดสูงมากจนเลือดกลายเป็นสีขาว
ข่าวนี้ มาจากวารสารการแพทย์ Annals of Internal Medicine ซึ่งได้เผยถึงกรณีของคนไข้ชายชาวเยอรมันคนหนึ่งที่เกิดภาวะเลือดข้น จนเลือดเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม
โดยอาการดังกล่าวเกิดจากการที่มีไขมันบางชนิดในเลือดสูงมากจนเกินไป ทั้งยังสามารถทำให้คนไข้เสียชีวิตโดยฉับพลันได้
ชายวัย 39 ปีคนนี้ ได้รับการนำตัวส่งเข้าโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคโลญโดยด่วน หลังเกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน เซื่องซึม และร่างกายเริ่มตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกลดลงทุกขณะ ซึ่งหากปล่อยไว้อาจเกิดอาการลมชักและหมดสติถึงขั้นโคม่าได้
หลังจากที่แพทย์ได้ร่วมกันตรวจและวินิจฉัยเบื้องต้น จึงได้พบว่า คนไข้มีภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (Hypertriglyceridemia) แถมยังมีอาการขั้นรุนแรงยิ่งกว่าคนทั่วไป
ไตรกลีเซอไรด์นั้นเป็นโมเลกุลไขมันชนิดหนึ่งที่ตับสังเคราะห์ขึ้นเอง แต่ปริมาณความเข้มข้นในร่างกายสามารถเพิ่มขึ้นได้จากชนิดและปริมาณของอาหารที่รับประทานเข้าไปด้วย
คนทั่วไปจะมีความเข้มข้นของไตรกลีเซอไรด์ในเลือดไม่เกิน 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ส่วนคนที่มีไตรกลีเซอไรด์ในระดับ “สูงมาก” จะมีอยู่ราว 500 mg/dL
ทว่า คนไข้รายนี้มีระดับไตรกลีเซอไรด์ถึง 18,000 mg/dL ซึ่งนับว่าสูงยิ่งกว่าระดับ “สูงมาก” อยู่ถึง 36 เท่า จนทำให้เลือดจากสีแดงกลายเป็นสีขาว
สาเหตุที่แพทย์ร่วมกันวินิจฉัยถึงสิ่งที่ทำให้ชายผู้นี้มีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงอย่างรุนแรงนั้น รายงานของแพทย์ชี้ว่ามาจากปัจจัยหลายอย่างที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน
โดยแต่เดิม คนไข้รายนี้มีประวัติเป็นโรคอ้วนและเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ถูกต้องและไม่ยอมกินยารักษาเบาหวานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เบื้องต้นเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน (Ketoacidosis ) ซึ่งเป็นผลจากโรคเบาหวานนั่นเอง โดยภาวะนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการเลือดข้นขาวรุนแรงตามมา
ตามปกติแล้ว ในกรณีแบบนี้ แพทย์จะรักษาภาวะเลือดข้นจากไตรกลีเซอไรด์ด้วยการใช้เครื่องไตเทียมฟอกเลือด เพื่อขจัดเอาโมเลกุลของไขมันและสารพิษอื่นๆ ออก แต่สำหรับคนไข้รายนี้ เนื่องจากเลือดข้นมากเกินไป ทำให้เข้าไปติดในอุปกรณ์ถึง 2 ครั้ง นั่นทำให้ต้องใช้วิธีอื่นในการรักษา
นั่นคือการเลือกใช้วิธีโบราณซึ่งเคยนิยมมากในลกตะวันตกยุคศตวรรษที่ 18 และ 19 และมีความเก่าแก่นับย้อนไปได้ถึงยุคอียิปต์โบราณราวสามพันปีที่แล้ว แต่ในปัจจุบันวงการแพทย์ไม่นิยมใช้วิธีนี้อีกต่อไป
วิธีที่ว่านี้เป็นการทำให้คนไข้เสียเลือด (Bloodletting) ด้วยการสร้างบาดแผล เพื่อให้คนไข้รายนี้ขับเลือดออกราว 2 ลิตร จากนั้นจึงถ่ายเอาเซลล์เม็ดเลือดแดงเข้มข้นและพลาสมาจากผู้บริจาคที่มีสุขภาพดีเข้าไปแทนที่ ทำให้เขารอดชีวิตจากภาวะเลือดข้นรุนแรงมาได้
นี่เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ทำให้คนทั่วไปได้ตระหนักว่า โรคร้ายแฝงตัวอยู่ในทุกตารางของการใช้ชีวิต หากไม่ดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ อาจส่งผลเสียในระยะยาวได้
ที่มา: bbc