หนึ่งในร้านกาแฟยอดนิยม และมีสาขามากมายทั่วโลกอย่าง Starbucks ดูผิวเผิน อาจเป็นเพียงร้านกาแฟระดับกลางๆ ที่ใครต่างก็เข้าถึงได้ง่าย ทั้งสะดวก และมีตัวเลือกหลากหลายให้กับลูกค้า
ทว่า มีหลายเรื่องเกี่ยวกับ Starbucks ที่คุณอาจไม่เคยได้รู้มาก่อน ซึ่งมันอาจเปลี่ยนวิธีคิดของคุณเกี่ยวกับร้านกาแฟแห่งนี้ไปตลอดกาล
เครื่องดื่มขนาด 20 ออนซ์ มีปริมาณเอสเพรสโซ่เท่ากับเครื่องดื่มขนาดใหญ่
พนักงาน Starbucks ที่ไม่ระบุตัวตนกล่าวว่า ทั้งเครื่องดื่มขนาดใหญ่ และเครื่องดื่มขนาด 20 ออนซ์ ต่างก็มีปริมาณเอสเพรสโซ่สองช็อตเท่ากัน (อย่างน้อย ก็ในสาขาที่พวกเขาทำงาน)
บาริต้าที่ชงกาแฟเท่านั้น จึงจะได้สวมผ้ากันเปื้อนสีดำ
พนักงานคนหนึ่งกล่าวว่าผ้ากันเปื้อนสีดำถูกสงวนไว้สำหรับ “coffee masters” บาริสต้าของ Starbucks เท่านั้น
คุณต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟที่ผ่านการรับรอง จึงจะสวมผ้ากันเปื้อนสีดำได้ เมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้จัดการแล้ว พวกเขาจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับกาแฟ ก่อนที่จะสามารถเรียกตัวเองว่า “coffee masters” ได้อย่างเป็นทางการ
ดังนั้น ถ้าคุณมีคำถามเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง ให้มองหาบาริสต้าในผ้ากันเปื้อนสีดำ พวกเขาจะตอบทุกคำถามของคุณได้
Starbucks มีค่ายเพลงเป็นของตัวเอง
เป็นที่รู้กันดีว่า Starbucks มักให้ความสำคัญกับดนตรี พวกเขาสร้างค่ายเพลงของตัวเองที่ชื่อว่า Hear Music ที่ก่อตั้งโดย Concord Music Group ในปี 2007 ซึ่งเต็มไปด้วยศิลปินที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น Paul McCartney, James Taylor และ Joni Mitchell
โลโก้ดั้งเดิมของ Starbucks ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
อาจฟังดูตลก อย่างที่คุณรู้ว่าโลโก้ของ Starbucks เป็นรูปนางเงือก ก่อนปี 1987 มีการถกเถียงกันว่าแท้จริงแล้วนางเงือกควรเปลือยกาย และเห็นหน้าอกมากกว่า แต่แล้วในปี 1992 พวกเขาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้มีการใช้ผมปกปิดส่วนหน้าอกเล็กน้อย
ชื่อนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Moby Dick”
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าชื่อ “Starbucks” มาจากไหน? ตามที่ Thrillist รายงานไว้ว่า “Starbucks” หมายถึงเพื่อนคนแรกในหนังสือ Herman Melville นั่นก็คือ “Moby Dick” นั่นเอง
มีเครื่องดื่ม 2 ขนาด ที่ไม่ได้แจ้งไว้ในเมนู
หากคุณเป็นลูกค้าประจำของ Starbucks คุณจะรู้ว่ามีขนาดของเครื่องดื่มให้เลือก 3 ขนาด นั่นคือ tall, grande และ venti
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ยังมีขนาดลับๆ ที่ไม่ได้แจ้งไว้ในเมนู นั่นก็คือ ช็อตขนาด 8 ออนซ์ ซึ่งเป็นช็อกโกแลตร้อนของเด็ก ซึ่งคุณสามารถสั่งได้ และ เครื่องดื่มขนาด 31 ออนซ์ ซึ่งจะสั่งได้เฉพาะกับเครื่องดื่มเย็นเท่านั้น
มีเหตุผลสำหรับการใช้โต๊ะกลมในร้าน
เมื่อไปที่ Starbucks ไม่ว่าจะที่สาขาไหนก็แล้วแต่ คุณอาจสังเกตเห็นว่าพวกเขามีที่นั่งสองแบบให้เลือก คือแบบโต๊ะกลม และแบบโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า เหตุผลก็คือ โต๊ะกลมจะทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนอยู่บ้านของตัวเอง และสบายใจมากกว่า
Starbucks มีร้านค้าลับที่เปิดให้บริการ
มีร้านค้าในเครือของ Starbucks อยู่เพียงไม่กี่เเห่ง ซึ่งจะขายสินค้าทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในเมนูที่ร้าน รวมถึงไวน์ เบียร์ และชีส ที่ไม่สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก บางครั้งพวกเขาใช้ร้านค้าลับๆ นี้เพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ด้วย
พวกเขามีกฎ 10 นาทีที่ต้องปฏิบัติตาม
มีกฎที่วางเอาไว้ว่า พนักงานในร้านของ Starbucks ต้องเปิดขาย และพร้อมให้บริการลูกค้า เป็นเวลา 10 นาทีก่อนเวลาร้านเปิดจริง และพวกเขาจะเปิดร้านต่อไปเป็นเวลา 10 นาที หลังเวลาร้านปิด เพื่อให้แน่ใจว่าในวันนั้นสามารถบริการลูกค้าได้อย่างเต็มที่แล้วจริงๆ
มีเครื่องดื่มมากกว่า 87,000 แบบที่เป็นไปได้
คุณเคยได้ยินเรื่องเมนูลับที่ไม่ได้อยู่ในเมนูมั้ย? ที่ Starbucks เองก็มีสูตรเครื่องดื่มที่ไม่ได้เป็นเมนูหลักอยู่เช่นกัน พวกเขาจะผสมเครื่องดื่มตามการปรับแต่งของลูกค้า
ซึ่ง Lisa Passe โฆษกของ Starbucks ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราคำนวนความน่าจะเป็นจากสูตรหลัก เราจะสามารถสร้างเครื่องดื่มที่หลาดหลายได้มากกว่า 87,000 แบบเลยทีเดียว
ลูกค้าที่ไปใช้บริการ Starbucks เฉลี่ยคนละ 6 ครั้งต่อเดือน
สถิติกล่าวว่าลูกค้า Starbucks โดยเฉลี่ยจะเข้าร้านกาแฟแห่งนี้ประมาณ 6 ครั้งต่อเดือน และลูกค้าอีก 20% ยังใช้บริการมากถึง 16 ครั้งต่อเดือนเลยเชียวล่ะ
เครื่องดื่ม Chantico นับเป็นความล้มเหลวที่หาได้ยากสำหรับบริษัท
แฟนตัวยงของ Starbucks ย่อมรู้ดีว่าที่นี่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และไอเดียเครื่องดื่มใหม่ๆ ทว่าครั้งหนึ่ง เคยเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ขึ้น กับเมนูที่มีชื่อว่า Chantico ซึ่งได้รับการอธิบายว่าเป็น “ขนมที่ดื่มได้”
น่าเสียดายที่พนักงานไม่สามารถทำได้ตามที่ออกแบบไว้ และลูกค้าบางคนก็บอกว่ามันแพง ทั้งยังหนักเกินกว่าจะเป็นเครื่องดื่มของสตาร์บัค มันเลยถูกเก็บเข้ากรุนับตั้งแต่ปี 2006
Starbucks ใช้เวลาในการดูแลสุขภาพพนักงานมากกว่ากาแฟทุกปี
Starbucks มอบข้อเสนอพิเศษที่เป็นประโยชน์ให้แก่พนักงาน รวมถึงการให้การดูแลสุขภาพแก่พนักงานที่ทำงาน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือมากกว่า
ในความเป็นจริงตาม Howard Schultz ซีอีโอของบริษัทเผย ในปี 2008 Starbucks ใช้เงินจำนวน 300 ล้านเหรียญต่อปีในการดูแลสุขภาพของพนักงาน ซึ่งมากกว่าสิ่งที่พวกเขาใช้จ่ายไปกับเมล็ดกาแฟ
พวกเขาถูกฟ้องร้องในเรื่องปริมาณลาเต้ที่น้อยเกินไป
ในปี 2016 Starbucks ถูกฟ้องร้องจากลูกค้าสองรายที่อ้างว่าพวกเขาใส่ลาเต้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึง 25% ในเมนูที่ขายในร้าน
ภายหลังบริษัทยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และคดีได้ถูกยกฟ้องไป
พวกเขาบริจาคอาหารมื้อเก่า
ในปี 2016 Starbucks ได้ประกาศแผนการบริจาค 100% ของอาหารที่เหลือให้แก่ผู้ที่หิวโหย แผนดังกล่าวถูกส่งให้กับสถานที่ตั้งทั้งหมด 7,000 แห่งของสหรัฐฯ
พวกเขาร่วมมือกับ Feeding America เพื่อบริจาคอาหารที่ยังไม่ถูกขาย เช่น แซนวิช และสลัด
ที่มา: thisisinsider