หากจะพูดถึงการสมัครเรียนในต่างประเทศ หรือแม้แต่การสมัครเพื่อขอทุนการศึกษา หนึ่งในเอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียมนั่นก็คือ SOP
SOP คืออะไร?
Statement of Purpose หรือ SOP บ้างก็ถูกเรียกว่า Personal Statement (PS) หรือ Motivation letter คือจดหมายหรือเรียงความสำหรับแนะนำตัวเองในการสมัครเพื่อเรียนต่อ
เอกสารนี้มักเป็นด่านแรกที่เหล่าคณะกรรมการจะพิจารณาเพื่อคัดเลือกผู้สมัคร เพื่อวัดว่าคุณมีควมตั้งใจมากแค่ไหน มีจุดประสงค์อะไรสำหรับการสมัครในครั้งนี้ ดังนั้นการเขียนเพื่อโน้มน้าวใจจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่ถูกนำมาใช้ในการเขียนเอกสารฉบับนี้มากที่สุด
เพื่อแนะนำแนวทางการเขียน SOP ให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ลองมาดูเทคนิคเหล่านี้ที่อาจเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จให้กับคุณได้
1. บอกเหตุผลที่ทำให้คุณอยากเรียนต่อที่นี่ หรืออยากได้รับทุนนี้
แม้ว่าการเล่าเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาจะกระชับ แต่บางครั้งมันอาจไม่โดดเด่น คุณจำเป็นต้องใส่เอกลักษณ์เฉพาะตัว และอธิบายเพื่อให้พวกเขาเห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางที่คุณวางไว้
เช่น หากคุณยื่นใบสมัครเข้าคณะแพทย์ การบอกว่าอยากเป็นหมอเพื่อช่วยเหลือคนอื่นเท่านี้อาจไม่เพียงพอ คุณจำเป็นต้องอะบายว่าทำไมคุณจึงอยากเป็นหมอ และการเข้าเรียนที่สถาบันของพวกเขาจะช่วยให้เป้าหมายเหล่านั้นสัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร
2. อธิบายให้ชัดเจนว่า ทำไมคุณจึงเหมาะสมที่จะได้รับเลือก
ในส่วนนี้คุณต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าอะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อโน้มน้าวให้คณะกรรมการรู้สึกว่าคุณมีคุณสมบัติที่เพียงพอต่อการตอบรับ
คุณอาจอธิบายถึงสิ่งที่ทำได้ พร้อมบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้ดูน่าเชื่อถือ และบอกให้พวกเขาทราบว่าหากคุณได้รับเลือกจะเป็นผลดีมากเพียงใด?
3. อธิบายให้ชัดเจนว่าการศึกษาในปัจจุบันของคุณ เกี่ยวข้องกับการสมัครในครั้งนี้อย่างไร?
สำหรับการสมัครเข้าเรียนในระดับปริญญาตรี อาจไม่ต้องเจาะลึกมาก แต่ในระดับบัณฑิตวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูง คุณอาจต้องใช้ความพยายามและสร้างความโดดเด่นโดยเฉพาะหากต้องการทุน
สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องอธิบายอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่คุณเรียนมาในระดับปริญญาตรีนั้นสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างไร หากได้เข้าศึกษาต่อที่สถาบันนี้ หรือได้รับทุนนี้ และมีความเกี่ยวข้องถึงแผนการระยะยาวที่คุณวางแผนเอาไว้อย่างไรบ้าง?
4. เชื่อมงานอดิเรกหรือความสนใจของคุณให้เช้ากับทุนที่สมัคร
แม้ว่าในจดหมายแนะนำตัวจะไม่ควรใส่รายละเอียดส่วนตัวมากเกินไป แต่การแนะนำความสนใจจะทำให้คณะกรรมการเห็นว่าคุณมีความกระตือรือร้นมากแค่ไหน
เช่น หากคุณหวังที่จะเรียนต่อระดับปริญญาโทด้านวรรณคดี คุณอาจยกกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น การเป็นนักเขียนที่มีผลงานของตัวเอง หรือการเข้าร่วมกับชมรมหนังสือ ฯลฯ เพื่อใช้อธิบายว่าคุณตอบสนองความสนใจของตัวเองอย่างจริงจังมากแค่ไหน?
5. เขียนทักษะที่มี และความสำเร็จที่ได้รับ
นี่คือโอกาสที่คุณจะได้พรีเซนต์ตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ พยายามเลือกทักษะที่คุณเชี่ยวชาญ หรือความสำเร็จที่คุณได้รับให้เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่คุณสมัครเพื่อทำให้พวกเขาเห็นว่า “คุณไม่ได้มาเล่นๆ”
6. แนบประวัติการทำงานไปพร้อมกัน
ประวัติการทำงานที่คุณเคยทำจะสร้างความสนใจให้กับคณะกรรมการได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหากคุณเคยฝึกงานหรือทำงานร่วมกับองค์กรที่มีชื่อเสียง หรืองานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่คุณสมัคร เพราะสิ่งนี้จะช่วยยืนยันได้ถึงความสนใจของคุณจริงๆ
7. เป็นตัวของตัวเอง
แทนที่จะพยายามเขียนให้สมบูรณ์แบบ สิ่งที่ดีที่สุดคือการเป็นตัวของตัวเอง เพราะเมื่อเป็นแบบนั้นตัวคุณจะเปล่งประกายมากที่สุด สิ่งที่ต้องระวังมีแค่พยายามเขียนทุกอย่างให้เป็นไปในทางเดียวกันและเรียงลำดับความสำคัญให้ดี
8. มองให้ไกลไปถึงอนาคต
หนึ่งในสิ่งที่คณะกรรมการมักพิจารณาคือการดูว่าคุณจะใช้ความสามารถหรือวุฒิการศึกษาของตัวเองนำไปต่อยอดอย่างไรในอนาคต?
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขากำลังมองหาศิษย์เก่าที่มีความมุ่งและจะสร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่คุณควรเขียนลงไปคือแผนการที่วางเอาไว้ว่าหลังเรียนจบแล้วคุณอยากจะเขย่าโลกใบนี้ในแนวทางไหน?
นอกเหนือไปจากเทคนิคการเขียน สิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรพลาด คือการทำความรู้จักกับทุน หรือสถาบันที่คุณเลือกเพื่อดูว่าพวกเขามีแนวโน้มชอบประเด็นไหนเป็นพิเศษ
เพราะข้อมูลเหล่านั้นจะช่วยให้คุณสามารถเลือกเรื่องราวมาเขียนได้อย่างตรงประเด็น และเมื่อประกอบกับการใช้เทคนิคที่เรานำเสนอ ไม่แน่ว่าความฝันของคุณอาจอยู่ใกล้จนเอื้อมมือคว้าไว้ได้ :)
ที่มา: bachelorstudies