หลายประเทศในโลกกำลังก้าวหน้าไปสู่อนาคตสีเขียว ที่ปัญหามลภาวะได้รับความสนใจ และคุณภาพชีวิตขอผู้คนเริ่มดีขึ้นอย่างทั่วถึง การส่งเสริมเขตปลอดยานยนต์ไม่เพียงทำให้เมืองนั้นปลอดภัยจากอุบัติเหตุมากยิ่งขึ้น แต่ยังช่วยลดความแออัดบนท้องถนน และช่วยให้สิ่งแวดล้อมสะอาดขึ้นด้วย
มีหลายประเทศที่พัฒนาระบบเขตปลอดยานยนต์ และแทนที่ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมถึงส่งเสริมให้พลเมืองออกกำลังกายเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ลองมาดูกันว่ามีที่ไหนในโลกบ้าง
นิวยอร์กซิตี้ สหรัฐอเมริกา
ในนิวยอร์กซิตี้ คุณสามารถไปได้ทุกที่ โดยการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือแม้แต่การเดินเท้า
เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ผู้คนมักใช้จักรยานในการสัญจร เพื่อให้ได้สัมผัสกับรายละเอียดในท้องถิ่น
กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
ในกรุงอัมสเตอร์ดัม การใช้รถยนต์เสี่ยงต่อการตกคูน้ำเฉลี่ยถึงปีละ 35 คันเลยทีเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงนิยมใช้จักรยาน เพราะทั้งสะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งยังปลอดภัยมากกว่า
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
การเดินเล่นทอดน่องไปตามแม่น้ำในเเมืองแห่งความรักอย่างปารีส คือหนึ่งในวิธีที่ทั้งชาวท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวนิยมใช้เพื่อชมความงามยามบ่ายของสถานที่แห่งนี้
เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ไม่อนุญาตให้ขับรถเข้าศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมือง ดังนั้น ตามปกติ ผู้คนมักใช้วิธีเดินเท้า หรือนั่งเรือกอนโดลาเพื่อไปยังสถานที่ต่างๆ
กรุงมาริด ประเทศสเปน
ในกรุงมาริด ประเทศสเปน กว่า 20 ปีมาแล้วที่พวกเขาพยายามรณรงค์ให้ลดการใช้ยานยนต์ ด้วยการเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น ทำให้คนนิยมหันมาสัญจรโดยเท้าและจักรยานมากกว่า
เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี
เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนีวางแผนที่จะจำกัดการใช้รถยนต์ในปี 15-20 ปีข้างหน้าเพื่อสร้างเครือข่ายสีเขียว ดังนั้น พวกเขาจึงรณรงค์ให้คนหันมาเดินเท้าหรือใช้จักรยาน พร้อมจัดสร้างพื้นที่สวนสาธารณะและพื้นที่สันทนาการเพื่อรองรับนโยบายนี้
เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
ซานฟรานซิสโกคือหนึ่งในเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ผู้คนสัญจรด้วยการเดินหรือการขี่จักรยาน นอกจากนี้ ด้วยระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก จึงไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นยานพาหนะยอดนิยมในเมืองนี้
เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
เมืองฟลอเรนซ์ เป็นอีกที่หนึ่งในอิตาลีที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยการเดินเท่าได้
เมือง Dubrovnik ประเทศโครเอเชีย
นับตั้งแต่การร่วมมือกับทีมสร้าง “Game of Thrones” ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นความสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างมาก ดังนั้น เมือง Dubrovnik จึงได้พยายามหาวิธีที่จะลดความเสียหายให้กับถนนสายประวัติศาสตร์ ทางออกของเมือง ด้วยการสร้าง ข้อจำกัดเกี่ยวกับรถยนต์ โดยในปัจจุบัน ได้มีกฎห้ามรถยนต์ในเขตเมืองเก่าของ Dubrovnik ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกได้
เมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
ณ เมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ พวกเขามีแผนปรับปรุงผังเมืองเพื่อให้ผู้คนสามารถสัญจรได้ง่ายขึ้นด้วยการเดิน รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเพื่อจำกัดการใช้ยานยนต์
ฟิลลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา
ฟิลาเดลเฟียถือเป็นเมืองใหญ่อันดับ 5 ที่ผู้คนมัดเดินเท้ามากกว่าใช้รถในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีเยี่ยม โดยมีรถไฟที่จะเดินทางไปยังเมืองใกล้เคียงอย่าง Washington, DC และ New York City ได้อย่างรวดเร็ว
บอสตัน สหรัฐอเมริกา
หนึ่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา บอสตันคือหนึ่งในเขตที่การเดินถือเป็นเรื่องธรรมดา นอกเหนือจากความกะทัดรัดเพียงพอที่จะทำให้การเดินทางเป็นเรื่องง่าย เมืองนี้ยังมีระบบขนส่งสาธารณะที่ติดอันดับหนึ่งในประเทศ
วอชิงตัน ดีซี
วอชิงตัน ดีซี นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งพิพิธภัณฑ์ และอนุเสาวรีย์อยู่ใกล้กันจนสามารถเดินไปได้ รวมถึงระบบรถไฟใต้ดินที่ครอบคลุมทั้งเมือง ขยายไปถึงเขตปริมณฑลทำให้การเดินทางยิ่งเป็นเรื่องง่ายโดยไม่ต้องใช้รถยนต์
เมื่อการขนส่งสาธารณะสะดวกและรวดเร็ว หลายคนจึงไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์เพื่อเดินทาง จึงเป็นหนึ่งในช่องทางที่จะช่วยแก้ปัญหาในระยะยาวได้อย่างดี :)
ที่มา: insider