Hindenburg คือเรือเหาะสัญชาติเยอรมัน ออกแบบขึ้นในช่วงก่อนที่เครื่องบินพาณิชย์จะเปิดให้บริการ และเป็นเรือเหาะที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากเหล่ามหาเศรษฐี
Hindenburg เปิดตัวใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1935 ซึ่งในช่วงนั้นหากจะเดินทางข้ามประเทศต้องพึ่งพาเรือเดินมหาสมุทร ซึ่งเรือเดินสมุทรนั้นสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ค่อนข้างมาก แต่ก็ใช้เวลาเดินทางนานมากเช่นกัน
เมื่อมีเรือเหาะ Hindenburg เกิดขึ้น จึงกลายเป็นจุดสนใจสำหรับบรรดามหาเศรษฐี เพราะ Hindenburg มาพร้อมกับพื้นที่ที่มีเป็นส่วนตัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องอาหารสุดหรู ห้องนอนพร้อมวิวบนน่านฟ้า และมีพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ด้วย
ภายในเรือเหาะประกอบด้วย 25 ห้องนอน สามารถนอนได้ห้องละ 1 ท่าน Hindenburg มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางจากเยอรมนีไปนิวยอร์กภายในเวลา 43 ชั่วโมง
ห้องอาหาร
ห้องรับประทานอาหารภายใน Hindenburg มีความยาวประมาณ 47 ฟุต กว้าง 13 ฟุต (14×3 เมตร) ตกแต่งผนังด้วยภาพวาดของ Professor Otto Arpke
.
.
.
เลานจ์
เลานจ์มีความยาวประมาณ 34 ฟุต (ประมาณ 10 เมตร) ประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังของ Professor Otto Arpke เช่นเดียวกับในห้องอาหาร
.
.
.
.
.
ห้องเขียนหนังสือ
ภายในห้องผู้โดยสาร
ห้องสำหรับสูบบุหรี่
ห้องนี้อยู่บนที่สูงกว่าความกดอากาศ ดังนั้นในกรณีที่มีการรั่ว ไฮโดรเจนจะไม่สามารถเข้ามาในห้องได้
.
.
บาร์
.
ห้องควบคุมการบิน
.
.
.
โซนสำหรับลูกเรือ และโครงเรือ
.
.
.
.
Hindenburg นั้นยาวเป็นสามเท่าและสูงเป็นสองเท่าของเครื่องบินโบอิ้ง 747
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่มีใครคาดคิด… ในขณะที่เรือเหาะ Hindenburg กำลังลงจอดที่ฐานทัพเรือเลคเฮิร์สท์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1937 Hindenburg ได้เกิดเพลิงลุกไหม้ในระดับความสูง 215 เมตรเหนือพื้นดิน
ส่งผลให้ผู้โดยสารและลูกเรือจำนวน 36 คนเสียชีวิต และมีผู้รอดชีวิตทั้งสิ้น 62 คน หายนะในครั้งนี้ทำให้ผู้บริการเรือเหาะยุติการบริการทันที ซึ่งนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้ Hindenburg ตก ด้วยความที่เทคโนโลยีในการตรวจสอบ ณ เวลานั้นมีค่อนข้างจำกัด แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเปิดเผยว่าเพลิงไหม้นั้นเกิดขึ้นเพราะไฟฟ้าสถิต บ้างก็เชื่อว่าเกิดจากการรั่วไหลของก๊าซไฮโดรเจนที่บรรจุอยู่ในถุงลม
นับได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงที่โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ ด้าน และถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ
ที่มา: boredpanda