เอสโตรเจน (Estrogen) คือฮอร์โมนเพศขั้นพื้นฐานที่พบอยู่ในเพศหญิง ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนที่คอยพัฒนาและควบคุมระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงตลอดจนลักษณะทางเพศ
ฉะนั้นการควบคุมฮอร์โมนเอสโตรเจนให้อยู่ในระดับปกติจึงถือเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ เพราะหากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปอาจนนำไปสู่โรคมะเร็งในหมู่เพศหญิงได้
และนี่คือสัญญาณเตือนว่าร่างกายของคุณกำลังมีเอสโตรเจนมากเกินไป
1. หน้าอกบวมและอ่อนนุ่ม
หากประสบปัญหากับอาการเจ็บปวดที่หน้าอก รวมทั้งมีอาการบวมผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีอยู่มากเกิน
2. อารมณ์แปรปรวน
ฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลต่อสารเคมีในสมองอย่างเซโรโทนิน โดพามีน และนอร์อิพิเนฟริน ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของเรา
3. ก้อนที่เต้านม
หากคุณมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเกินอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อที่ทรวงอกได้ ซึ่งลักษณะนี้เป็นได้ทั้งนุ่มๆ หยุ่นๆ หรือทำให้รู้สึกเจ็บปวด ซึ่งควรไปพบแพทย์หากคลำพบก้อนเนื้อผิดปกติที่เต้านม
4. ผมร่วง
โดยปกติผมร่วงมักเป็นปัญหาของท่านชาย แต่สำหรับผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปอาจทำให้ผมร่วงมากกว่าปกติ และสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ด้วย อย่างไรก็ตาม อาการผมร่วงก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของคุณเช่นกัน
5. น้ำหนักตัวเพิ่ม
ไม่ได้กินเยอะผิดปกติแต่สะโพกของคุณกลับขยายใหญ่ขึ้นซะงั้น ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในสัญญาณบ่งบอกของการมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มากเกินไป นอกจากนี้คุณยังมีอาการท้องอืดร่วมด้วย และประสบปัญหากับการลดน้ำหนัก
6. ประจำเดือนมาไม่ปกติ
ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีรอบเดือนในทุกๆ 21 – 35 วัน แต่หากประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาจหมายความว่าร่างกายมีฮอร์โมนที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสโตรโรนเป็นตัวควบคุมในเรื่องเหล่านี้
7. รู้สึกเพลีย เหนื่อยล้าตลอดเวลา
เป็นเรื่องปกติหากมีปัญหากับการนอนหลับแล้วจะรู้สึกอ่อนเพลีย แต่หากสังเกตว่าตัวเองเหนื่อยล้ากว่าปกติทั้งๆ ที่การใช้ชีวิตก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณต้องเช็กเรื่องระดับฮอร์โมนของตัวเองแล้วล่ะ
8. มีปัญหากับการนอนหลับ
การมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเกินสามารถส่งผลต่อการนอนหลับที่แตกต่างกัน เช่น คุณช่างพูดช่างคุยจนนอนไม่หลับ หรือตรงกันข้ามคุณกลับรู้สึกง่วงหงาวหาวนอนตลอดเวลา หากนิสัยการนอนเปลี่ยนแปลงฉับพลันโดยไม่มีสาเหตุใดๆ มารองรับ หรือแม้กระทั่งเหตุผลจากความเครียด แสดงว่าคุณต้องเช็กเรื่องฮอร์โมนแล้วล่ะ
หากสัญญาณเหล่านี้เข้ามากวนใจคุณ อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนจะสายเกินไป
ที่มา: bustle , brightside
