ในการสื่อสาร ไม่ว่าจะด้วยภาาาไหนๆ อาจจะมีบางคำที่มีความหมายแฝงหรือเป็นคำเฉพาะที่ถ้าเราไม่ได้อยู่ในวงการนั้นๆ อาจจะไม่เข้าใจ ยิ่งเป็นภาษาต่างชาติที่เราไม่ได้ถนัดด้วยแล้ว อาจทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนจากที่อีกฝ่ายต้องการสื่อสารได้
ในแวดวงธุรกิจเองก็มีสำนวนที่บางครั้งคนทั่วไปอาจเข้าใจไปคนละทาง วันนี้เราจึงมีตัวอย่างสำนวนที่พบเห็นได้บ่อยเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจมาให้ได้เรียนรู้กัน พร้อมแล้วก็ลุยเลย!!
1. Yes man
หมายถึง คนที่เห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งที่เจ้านายพูด
ตัวอย่างประโยค : Being a yes man keeps me out of trouble, and it might even lead to a promotion!” (การเป็นคนที่เข้าข้างเจ้านายทำให้ฉันไม่ต้องเจอกับปัญหาแถมยังมีโอกาสเลื่อนขั้นด้วย!)
2.Call it a day
หมายถึง คำพูดที่มักจะใช้ช่วงเลิกงานและชวนกันกลับถึงบ้าน
ตัวอย่างประโยค : “I’m tired. Let’s call it a day.” (ฉันเหนื่อยแล้ว วันนี้พอเท่านี้ก่อนละกัน)
3. Hit the nail on the head
หมายถึง คำพูดที่ตรงประเด็น
ตัวอย่างประโยค : “He hit the nail on the head when he said the problem was the thermostat” (เขาพูดเข้าประเด็นเลยว่าปัญหาอยู่ที่เครื่องควบคุมความร้อน)
4. Grey area (UK) / Gray area (US)
หมายถึง เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างบางสิ่งบางอย่าง
ตัวอย่างประโยค : “It exists in a grey area between legal and illegal.”(มันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างเรื่องที่ถูกและผิดกฎหมาย)
5.Get the ball rolling
หมายถึง การเริ่มต้นเพื่อให้เกิดบางสิ่งบางอย่าง
ตัวอย่างประโยค : “We really need to get the ball rolling on this project. The deadline is in October, and it’s already September.” (เราจำเป็นต้องเริ่มเดินหน้าโครงการนี้กันอย่างจริงๆ จังๆ สักที เพราะกำหนดส่งงานมันจะมาถึงในเดือนตุลาคมนี้แล้ว แถมนี่มันก็เดือนกันยายนแล้วด้วย!!)
6. Back to the Drawing Board
หมายถึง สิ่งที่คิดหรือวางแผนมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ลและคุณต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
ตัวอย่างประโยค : “My job interview went horribly! I have to go back to the drawing board.” (การสัมภาษณ์งานของฉันมันแย่มาก สงสัยต้องกลับไปตั้งต้นใหม่อีกรอบ)
7. Thumbs Up
หมายถึง คำชมเชยหรือมันเยี่ยมมาก!!
ตัวอย่างประโยค : “That’s good. You deserve a big thumbs up for such a great presentation!” (สุดยอด!! คุณควรได้รับคำชมคำโตๆ สำหรับการเสนองานที่ยอมเยี่ยมแบบนี้)
8. Big picture
หมายถึง ภาพรวม การมองภาพรวมแต่ไม่สนใจรายละเอียดยิบย่อย
ตัวอย่างประโยค : “Although we all have all specific tasks to do, our leader makes sure we don’t lose sight of the big picture.” (แม้ว่าแต่ละคนจะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แต่หัวหน้าฝ่ายต้องไม่ลืมที่จะมองภาพรวมทั้งหมดให้ออกมาดีที่สุด)
9. On the ball
หมายถึง ชาญฉลาด มีไหวพริบ กระตือรือร้น
ตัวอย่างประโยค : “If I had been more on the ball I would have asked when he called me.” (ถ้าฉันกระตือรือร้นมากกว่านี้ก็คงจะถามเมื่อตอนที่เขาเรียกไปแล้ว)
10. On the same page
หมายถึง เข้าใจตรงกัน คิดเหมือนกัน เห้นพ้องต้องกัน
ตัวอย่างประโยค : “I want to make sure we’re all on the same page with this new project.” (ผมอยากทำให้แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกันในโครงการใหม่ที่กำลังจะเริ่มนี้)
11. Ground-breaking
หมายถึง สิ่งอื่นๆ หรือนวัตกรรมที่แตกต่างไปจากเดิม
ตัวอย่างประโยค : “This product is certainly a ground-breaking technology.” (ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้จะต้องเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำยุคอย่างแน่นอน)
12. Read between the lines
หมายถึง การตีความสิ่งที่ผู้เขียนอาจจะไม่ได้เขียนออกมาตรงๆ
ตัวอย่างประโยค : “If you read between the lines a little, you will realize that he has deeper motives” (ถ้าเธอตีความออกสักหน่อย เธอจะเห็นแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ในนั้น)
13. Put the cart before the horse
หมายถึง ทำสิ่งต่างๆ สลับกัน การที่จัดวางหรือจัดทำสิ่งต่าง ๆ ผิดขั้นตอนหรือผิดกาละเทศะ
ตัวอย่างประโยค : “There’s no point trying to write the report when you haven’t got a clear idea of what to write. You don’t want to put the cart before the horse.” (คุณไม่สามารถเขียนรายงานได้หรอกถ้ายังไม่รู้ว่าต้องเขียนอะไรลงไป อย่าข้ามขั้นตอนสิ )
14. See someone’s point
หมายถึง ความเข้าใจในเหตุผลของการกระทำ ข้อคิดเห้น หรือความรู้สึกของคนใดคนหนึ่ง
ตัวอย่างประโยค : “Yes, I see your point. Let me double-check that and get back with you.” (โอเค ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณอยากจะบอก แต่ขอให้ฉันได้เช็คอีกรอบแล้วจะส่งกลับมาให้)
15. Get down to work
หมายถึง จริงจังกันหน่อย มาคุยเรื่องงานกัน หรือมาคุยธุระของเรากันดีกว่า
ตัวอย่างประโยค : “You know what, Harry? You just need to get down to work!” (รู้อะไรมั้ย แฮร์รี่ คุณต้องจริงจังกับงานมากกว่านี้แล้วล่ะ!!)
หมั่นเรียนรู้วันละนิด เก็บเล็กผสมน้อยแล้วเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพียงเท่านี้การเก่งภาษาอังกฤษก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะ :)
ที่มา : www.fluentland.com