เพื่อนๆคนไหนที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษ หรือว่าภาษาใดๆก็ตาม จะไม่สามารถเก่งภาษานั้นๆได้เลย ถ้าหากขาด เคล็ดลับเรียนภาษา 9 ข้อ ที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้ จะมีอะไรบ้างไปชมกันครับ
1. มีต้นแบบหรือยัง?
วิธีการเรียนรู้แบบเร่งรัดสุดๆ คือ “ลอกเลียน” ลองค้นหาวีดีโอจากนักพูด นักร้อง หรือนักแสดง หรือใครก็ได้ที่เราชื่นชมและใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก กำหนดให้คนนั้นๆเป็นแบบอย่างในการพูดภาษาอังกฤษ แล้วก็เลียนแบบเลย
2. อ่านแล้วไฮไลท์คำที่ไม่รู้จักไว้ด้วย
อย่าเอาแต่อ่านแล้วทิ้งคำที่ไม่รู้จักไว้อย่างนั้น ให้ทำไฮไลท์คำที่เราไม่รู้จักไว้ แล้วไปหาความหมายของมัน เพื่อเก็บไว้ใช้ในคราวต่อไป
3. ถ้ารู้คำใหม่ๆ ให้ทดลองใช้ทันที
เมื่อเราได้รู้จักคำใหม่ๆ และเรียนรู้ความหมาย รวมถึงศึกษาตัวอย่างวิธีใช้ของคำนั้นแล้ว ให้แต่งประโยคโดยใช้คำใหม่นั้นทันที
4. อย่าเพิ่งอาย ถ้ามีคนทักว่าเราใช้ผิด
ห้ามมองข้ามความผิดพลาดเด็ดขาด เมื่อผิดรีบแก้ไขทันที ไม่เช่นนั้นเราจะจำแต่ข้อความที่เราใช้ผิด แล้วเอามันไปใช้เรื่อยๆ และเราจะผิดซ้ำซาก ให้นึกไว้ว่า “คนผิดแล้วแก้ไขไม่น่าอาย คนผิดแล้วผิดอีกผิดซ้ำซากสิที่น่าอาย”
5. ฝึกทักษะในเรื่องที่เราสนใจ
วิธีการฝึกทักษะภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพสูงมาก คือ การเลือกฝึกจากหัวข้อที่เราสนใจ โดยเฉพาะการฝึกภาษาใหม่ในวัยผู้ใหญ่ การฝึกจากเรื่องที่สนใจเป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะทางภาษา
6. “ความเชื่อในตัวเอง” เป็นกุญแจความสำเร็จ
จงเชื่อในความสามารถของตัวเอง ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้ มันจะสะกดจิตเราไปตลอดกาลว่าเราไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ แต่ถ้าบอกตัวเองว่า “เราทำได้” และทำทันที การพัฒนาทักษะก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
7. ฝึกซ้อม ฝึกซ้อม ฝึกซ้อม
ให้ฝึกซ้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จำไว้ว่าถ้าพบจุดผิด ให้รีบแก้ไขทันที และเริ่มฝึกซ้อมสิ่งที่ถูกต้องทันทีด้วย เราต้องไม่ปล่อยให้สมองจดจำสิ่งผิดไปใช้งาน สมองจะเคยตัวและจำสิ่งที่ผิดๆไปใช้อยู่ตลอด
8. ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด
ให้กำลังใจตัวเองด้วยกันเตือนใจเสมอว่าไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์รู้และทำได้เกิดจากการฝึกซ้อม ดังนั้นไม่มีคำว่าแก่เกินเรียน จงสนุกกับการเรียนและสนุกกับการฝึกซ้อม ฝึกซ้อม และฝึกซ้อม
9. เรียนกับใครก็เก่งได้เท่าคนนั้น
ควรพิจารณาเลือกผู้สอนให้ถี่ถ้วนว่าทักษะใดที่คุณต้องการ และใครเป็นผู้มีทักษะสุดยอดในด้านนั้นเท่าที่ความสามารถของเราจะหาได้ การเรียนภาษาในชั้นเรียนเป็นเรื่องดี แต่อย่าหยุดการเรียนรู้ไว้แค่ในห้องเรียน
ที่มา: peathitiwat
ภาพจาก: languageapproach