ตลอดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงมักต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายและความอยุติธรรมมากมายไม่ว่าจะในประเทศไหนๆ และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการเรียกร้องสิทธิสตรีและความแตกต่างระหว่างหญิงกับชายถูกลดทอนลงบ้างแล้ว แต่ในผู้หญิงหลายพื้นที่ยังมีความเป็นอยู่แบบเดิมแะไร้การช่วยเหลือให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในอดีต มีการบันทึกเรื่องราวของผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคซึ่งได้สร้างทั้งชื่อเสียงและการค้นพบที่โลกต้องจารึก ในบรรดาชายหนุ่มเหล่านั้น มีเหล่าสตรีที่ทรงอิทธิพลและต่อสู้กับอุปสรรค เอาชนะความทุกข์ยากจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมและโลกใบนี้ได้ถึง 12 คน เราไปรู้จักเรื่องราวของพวกเธอกันดีกว่า
1. Susan B. Anthony
เธอได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวชาวเควกเกอร์ที่เป็นรากฐานสำคัญในการเคลื่อนไหวและเรียกร้องความยุติธรรมทางสังคมจนกลายเป็นผู้สนับสนุนการเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สินของสตรีและการเลิกทาส
ในปี 1872 Susan B. Anthony พยายามที่จะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ไม่สามารถทำได้ จนกระทั่งกฎหมายถูกแก้ไขครั้งที่ 19 ในปี 1920 ซึ่งยอมรับให้สตรีสามารถมีสิทธลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง และได้รับการตั้งชื่อว่า “Susan B. Anthony Amendment.”
2. Dr. Elizabeth Blackwell
Dr. Elizabeth Blackwell เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาทางการแพทย์จากโรงเรียนแพทย์อเมริกัน
หลังจากที่เอาชนะอุปสรรคที่ขวางเธอจากเส้นทางสู่การเป็นแพทย์ เธอได้ทำการจัดหาเงินทุนเพื่อสนับสุนโรงเรียนแพทย์ ร่วมกับ Dr. Marie Zakrzewska และน้องสาวของเธอ Emily ซึ่งกลายเป็นหมอเช่นกัน
เธอเปิดโรงพยาบาลสำหรับผู้หญิงและเด็กๆ ในปี 1856 ทำให้มีวิทยาลัยแพทย์เปิดตามไปด้วยในปี 1857 ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้หญิงที่จะได้ศึกษาด้านการแพทย์ การฝึกอบรมและประสบการณ์ที่จำเป็นเช่นเดียวกับการดูแลทางการแพทย์โดยเฉพาะสำหรับคนยากจน
3. Marie Curie
Marie Curie เป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ ในคณะวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Sorbonne (บางครั้งเรียกกันว่ามหาวิทยาลัยปารีส) ในปี 1906 เธอจบปริญญาโทสาขาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต
เธอยังเป็นคนแรกที่ชนะรางวัลโนเบลถึงสองครั้ง ครั้งแรกในสาขาฟิสิกส์ ปี 1903 โดยมีสามีของเธอคือ Pierre Curie และ Henri Becquerel ผู้ช่วยในการศึกษาการฉายรังสีตามธรรมชาติ ครั้งที่สองในสาขาเคมี ปี 1911 สำหรับการค้นพบกัมมันตภาพรังสี
4. แม่ชี Teresa
โดยต้นกำเนิด เธอมาจากมาซิโดเนีย แม่ชี Teresa เป็นแม่ชีคาทอลิก แม้ว่าจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในอินเดีย แต่งานการกุศลของเธอก็มักจะเกิดขึ้นในระหว่างประเทศ รวมถึงการช่วยอพยพผู้ป่วยในโรงพยาบาลช่วงสงครามเลบานอน การบรรเทาทุกข์จากแผ่นดินไหวในอาร์เมเนีย และช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความหิวโหยในเอธิโอเปีย
เธอก่อตั้ง Order of the Missionaries of Charity ซึ่งเป็นกลุ่มสตรีชาวโรมันคาทอลิคที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและคนยากจน ในบรรดารางวัลเกียรติยศทั้งหลายที่ได้รับ แม่ชี Teresa ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี1979 สำหรับงานที่ดำเนินการในการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนและความทุกข์ยากซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพด้วย
5. Anne Frank
Annelies “Anne” Marie Frank เป็นนักเขียนและหนึ่งในเหยื่อชาวยิวที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดใน Holocaust เธอเกิดในเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่อัมสเตอร์ดัมเมื่อเธออายุ 4 ขวบเนื่องจากมีการต่อต้านชาวยิวในวงกว้างที่เยอรมนี
ในปี 1940 เมื่อพวกนาซีเข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ Anne และครอบครัวของเธอก็ถูกพรากความสุขที่มีมาตลอด 7 ปีไปในทันที พวกเขาใช้เวลา 2 ปีในการซ่อนตัวซึ่งช่วงเวลานั้น Anne ได้เขียนบันทึกที่ต่อมาจะกลายเป็นที่จดจำไปทั่วโลก ภายหลังครอบครัวถูกค้นพบและถูกส่งไปยังค่ายกักกัน
เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่สงครามสิ้นสุดลง Anne เสียชีวิตในปี1945 ที่ค่าย Bergen-Belsen ในเยอรมนี “บันทึกของ Anne Frank” กลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าทึ่งของวัยรุ่นที่อธิบายถึงความหายนะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของสงคราม
5. Ellen Johnson-Sirleaf
Ellen Johnson-Sirleaf เป็นคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประมุขแห่งรัฐในแอฟริกา เมื่อเธอเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไลบีเรียในเดือนมกราคม ปี 2006 เธอได้ลงนามในเสรีภาพการเรียกเก็บเงิน (เป็นครั้งแรกในแอฟริกาตะวันตก) และลดระดับชาติ
หนี้เป็นรากฐานที่สำคัญของตำแหน่งประธานาธิบดีของเธอ ในการสืบสวนคดีอาชญากรรมระหว่างสงครามกลางเมืองในไลบีเรียเธอได้จัดตั้งคณะกรรมการสืบสวนความจริงและการประนีประนอม จนกลายเป็นไอคอนระดับโลกด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับเผด็จการการทุจริตและความยากจนผ่านการเสริมสร้างพลังอำนาจของสตรีและเด็กหญิง
ประธานาธิบดี Sirleaf และผู้นำหญิงอีกสองคน (Leymah Gbowee และ Tawakkol Karman) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2011 สำหรับบทบาทที่นุ่มนวลในการส่งเสริมสันติภาพประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางเพศ
6. Wangari Muta Maathai
Wangari Muta Maathai เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวเคนยา นอกจากนี้ยังเป็นนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและนักการเมือง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกในภาคตะวันออกหรือแอฟริกากลางที่ได้รับปริญญาเอกและการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งขบวนการ Green Belt Movement ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มของชุมชนที่จะช่วยให้สตรีได้รับความรู้เรื่องการศึกษาของพลเมืองและการดูแลสิ่งแวดล้อม
ในปี 2004 การทำงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาธิปไตยและสันติภาพทำให้เธอได้กลายเป็นสตรีชาวแอฟริกันคนแรกและนักสิ่งแวดล้อมคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
7. Aung San Suu Kyi
Aung San Suu Kyi เป็นลูกสาวของวีรบุรุษเอกราชของพม่า นายพล Aung San และเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองและการเคลื่อนไหวหลังจากได้รับแรงบันดาลใจจากแคมเปญการต่อสู้ด้วยความสงบของ Martin Luther King และมหาตมะคานธีในประเทศอินเดีย
ในปี 1988 ช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญในพม่า เธอได้จัดชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประชาธิปไตยอย่างสันติและการเลือกตั้งโดยเสรี อย่างไรก็ตามการประท้วงถูกกองกำลังปราบปรามอย่างทารุณโดยกองทัพซึ่งยึดอำนาจในการรัฐประหารในปี 1988 และ Aung San Suu Kyi ที่เป็นประธานพรรคฝ่ายค้านถูกจับและกักบริเวณในบ้าน
เธอเป็นหนึ่งในนักโทษการเมืองคนสำคัญที่สุดในโลกที่ถูกจับกุมเกือบ 15 ปีจนได้รับการปล่อยตัวล่าสุดในปี 2010 เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1991 สำหรับความมุ่งมั่นที่จะต่อต้านการปกครองอย่างสงบกับพม่าที่ปกครองโดยทหารและสำหรับการมอบชีวิตให้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
8. Shirin Ebadi
Shirin Ebadi เป็นนักกฎหมายชาวอิหร่าน นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและผู้ตัดสินหญิงคนแรกในอิหร่าน หลังจากการปฏิวัติของ Khomeini ในปี 1979 เธอถูกไล่ออกในฐานะผู้พิพากษา จากนั้นเธอก็เปิดการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อปกป้องผู้คนที่ถูกข่มเหงโดยเจ้าหน้าที่
ในปี 2000 เธอถูกกักขังเพราะวิพากษ์วิจารณ์ถึงชนชั้นปกครองในประเทศของเธอ ภายหลังเธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2003 สำหรับความพยายามในการบุกเบิกประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะผู้หญิง เด็กและผู้ลี้ภัย
เธอเป็นผู้หญิงมุสลิมคนแรกของอิหร่านและเป็นคนแรกที่ชนะรางวัล ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในอังกฤษเนืองจากการกดขี่ข่มเหงของฝ่ายตรงข้ามจากระบอบการปกครองในปัจจุบัน
9. Benazir Bhutto
เธอเกิดในปากีสถาน Benazir Bhutto เป็นนักกิจกรรมทางการเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย ในปี 1984 เธอได้ก่อตั้งองค์กรใต้ดินเพื่อต่อต้านเผด็จการทหาร
ปี 1988 เธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงด้วยวัยเพียง 35 ปีทำให้เธอเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดในโลกและเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีในประเทศอิสลาม ขณะที่อยู่ในที่ทำงาน Benzair Bhutto ได้ริเริ่มโครงการต่อต้านการทุจริต และสร้างไฟฟ้าในชนบทรวมถึงสร้างโรงเรียนทั่วประเทศ เธอปลดปล่อยความหิว ความขาดแคลนที่อยู่อาศัยและดูแลสุขภาพตามลำดับความสำคัญและพยายามที่จะปฏิรูปประเทศปากีสถาน
เธอถูกลอบสังหารในปี 2007 ขณะออกจากการชุมนุม ความพยายามของเธอในการส่งเสริมประชาธิปไตยและการเสริมสร้างพลังอำนาจของสตรีเป็นส่วนสำคัญที่เหลือทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้
10. Dr. Mae Jemison
Dr. Mae Jemison เป็นแพทย์ชาวอเมริกัน และนักบินอวกาศหญิงชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรก ก่อนที่จะมาทำงานใน NASA เธอทำงานอยู่ในค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชาที่ประเทศไทยและทำหน้าที่ด้านสันติภาพในเซียร์ราลีโอนและไลบีเรีย
เธอได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมนักบินอวกาศของ NASA เมื่อปี1987 จนกระทั่งในปี 1992 ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์บนจรวดอวกาศ เธอกลายเป็นหญิงชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ได้เดินทางไปในอวกาศ
11. Rigoberta Menchú Tum
หญิงชาวพื้นเมืองในกัวเตมาลาพื้นเมืองที่ K’iche ผู้สืบทอดวัฒนธรรมมายัน อย่าง Rigoberta Menchú ได้ทุ่มเทชีวิตของเธอในการส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง เธอกลายเป็นคนที่มีบทบาทในขบวนการสิทธิสตรีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นและต่อมาก็เป็นผู้สนับสนุนด้านสิทธิแรงงานที่โดดเด่น
ในปี1981 หลังจากที่ครอบครัวของเธอถูกสังหารและชีวิตของตัวเองตกอยู่ในอันตรายเธอหนีไปเม็กซิโก และเธอยังคงทำงานต่อต้านการกดขี่ในกัวเตมาลา
ปี 1992 เธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากการทำงานด้านความยุติธรรมทางสังคมและการปรองดองกันระหว่างชนชาติ ethno กับวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมืองในกัวเตมาลาและเป็นคนพื้นเมืองคนแรกที่ได้รับรางวัล
ในปี2006 Menchú เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Nobel Women’s Initiative ซึ่งเป็นกลุ่มสตรีที่ได้รับรางวัลจากการทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างสิทธิสตรีทั่วโลก
12. Malala Yousafzai
Malala Yousafzai เป็นผู้สนับสนุนชาวปากีสถานสำหรับการศึกษาของเด็กผู้หญิงและเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่อายุน้อยที่สุด
ในปี 2009 เมื่อ Malala เพิ่งอายุครบ 11 ปีเธอเริ่มเขียนบล็อกเกี่ยวกับชีวิตภายใต้กลุ่ม Taliban และกล่าวถึงภัยคุกคามของพวกเขาต่อการปิดโรงเรียนหญิงที่มีอยู่ (ปากีสถานมีเด็กจำนวนมากที่ต้องไม่ได้ไปโรงเรียน และ 2 ใน 3 คือเด็กผู้หญิง)
ในเดือนตุลาคมปี 2012 นักแม่นปืนคนหนึ่งยิงเธอและเด็กหญิงอีกสองคนขณะที่พวกเขากลับมาจากโรงเรียน Malala รอดชีวิตจากการโจมตีและในปี 2013 ได้มีการตีพิมพ์หนังสืออัตชีวประวัติ I Am Malala:เด็กสาวที่ลุกขึ้นต่อต้านเพื่อการศึกษาและถูกยิงโดยกลุ่มTaliban
ในเดือนตุลาคมปี 2014 Malala ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพพร้อมกับนักกิจกรรมด้านสิทธิเด็กของอินเดีย Kailash Satyarthi
พลังเล็กๆ ที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ของผู้หญิงเหล่านี้คือส่วนสำคัญที่ทำให้ชีวิตผู้คนมากมายทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ดีขึ้นและทำให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าที่พวกเธอควรได้รับ
แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยชีวิตหรือความเหนื่อยยากในอุปสรรคต่างๆ แต่เรื่องราวของพวกเธอเหล่านี้จะกลายเป็นเเรงบันดาลใจที่ทำให้คนรุ่นหลังสามารถสานต่ออุดมการณ์และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังขับเคลื่อนโลกได้ในอนาคต
ที่มา : www.one.org