บนโลกใบนี้มีเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ที่จนถึงปัจจุบันนี้ก็ังไม่มาสามารถหาคำตอบหรืออธิบายถึงที่มาที่ไปได้ ซึ่งในบทความนี้ก็เช่นกัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “สมบัติล้ำค่า” ที่ประวัติศาสตร์ได้ระบุไว้ว่ามีอยู่จริง แต่จวบจนปัจจุบันก็ยังหาไม่พบและยังเป็นปริศนาอยู่ทุกวันนี้ครับ
เอ็ดเวิร์ด ทีช (Edward Teach) หรือที่รู้จักกันดีในนามว่า แบล็คเบียร์ด หรือโจรสลัดเคราดำ เขาเป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียงมากในยุค 1700 โดยแบล็คเบียร์ดจะออกปล้นบริเวณทะเลแคริบเบียน และได้รับสมบัติล้ำค่ากลับมาจากการปล้นนับไม่ถ้วน
จนกระทั่งปี 1718 เขาถูกฆ่าตัดศีรษะแขวนไว้ที่หัวเรือ โดยฝีมือนายทหารเรือชาวอังกฤษ ชื่อ โรเบิร์ต เมย์นาร์ด แต่หลังจากนั้นในปี 1996 ได้มีการค้นพบซากเรือที่เชื่อกันว่าเป็นเรือของโจรสลัดเคราดำ แต่สำหรับสมบัติทั้งหลายที่โจรสลัดเคราดำเคยปล้นได้ ยังไม่มีใครค้นพบ
2. อัญมณีที่หายไปของ พระเจ้าจอห์น
พระมหากษัตริย์จอห์น แห่งอังกฤษ เป็นที่รู้กันว่าท่านมีอุปนิสัยที่โลภมาก และชื่นชอบการสะสมและขโมยสมบัติล้ำค่า โดยเฉพาะทองและอัญมณีต่างๆ ขโมยมาเพื่อตัวเองและแจกจ่ายให้พวกพ้อง
ในเดือนตุลาคม ปี 1216 ขณะที่ท่านเดินทางออกจากเขตแดน นอร์ฟอล์ก ระหว่างทางพระเจ้าจอห์นก็ล้มป่วยด้วยโรคบิด จึงเป็นเหตุให้ต้องกลับพระราชวังกะทันหัน แต่ด้วยเส้นทางที่อันตราย เกวียนม้าที่ขนสมบัติกว่า 70 ล้านดอลลาร์ ก็ตกหล่นหายสาบสูญและไม่มีใครค้นพบอีกเลย
ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ ได้ลดต่ำลง แต่มูลค่าของทองคำกลับสูงขึ้น เศรษฐีชาวแม็กซิกัน นามว่า Leon Trabuco ก็ปิ๊งไอเดียการเก็บสมบัติ โดยการฝังทองคำหนักถึง 16 ตันของเขาลงไปในทะเลทราย เพื่อสักวันหนึ่งเขาจะขุดขึ้นมาและนำทองเหล่านี้ไปขาย
แต่แล้วในปี 1934 เขาก็ต้องพบการเหตุการณ์ Gold Act ยุคที่ใครครอบครองทองถือว่าผิดกฎหมาย ทำให้เขาไม่สามารถนำทองที่ฝังไว้ทั้งหมดขึ้นมาได้ จนกระทั่งเขาเองได้เสียชีวิตลง พร้อมๆ กับทองคำก็ยังฝังอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแห่งนั้น
ในปี 1930 ได้ค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์ Homo erectus หรือที่เรียกกันว่ามนุษย์ปักกิ่ง ต่อมาในปี 1945 ได้ส่งชิ้นส่วนของมนุษย์ปักกิ่งขึ้นเรือ เพื่อที่จะนำไปประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ยังไม่ทันถึงที่หมาย เรือกลับล้มจมหายกลางมหาสมุทร จึงทำให้ชิ้นส่วนและโครงกระดูกหล่นหายอยู่ใต้มหาสมุทร จนทุกวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดดำน้ำลงไปเก็บขึ้นมาได้
เป็นความเชื่อที่ยังมีข้อกังขาและหาทางพิสูจน์ไม่ได้ สำหรับสมบัติอันล้ำค่าจำนวนมหาศาลที่ถูกฝังไว้ในบริเวณสมรภูมิรบระหว่างชาวอเมริกันกว่า 188 คน กับ กองทัพเม็กซิกันจากซานตาอานา โดยสมบัติดังกล่าวเรียกว่า “San Saba Treasure” เป็นสมบัติที่ชาวอเมริกันขนมาเพื่อเป็นกองทุนให้กับทัพของตัวเอง
ห้องโถงสีอำพันสุดหรู เป็นสถานที่เก็บสมบัติที่สูงกว่า 11 ฟุต ภายในตกแต่งไปด้วยศิลปะชั้นสูงและเต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่า แต่เดิมสร้างขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์ฟรีดริชที่ 1แห่งราชอาณาจักรปรัสเซีย ต่อมาในปี 1716 ก็ตกเป็นของจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย โดยมูลค่าทั้งหมดของห้องโถงอำพันอยู่ที่ 142 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 5 พันล้านบาท
สิ่งประดิษฐ์แสนสวยนี้ ในตำนานบอกว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือพระเจ้า แต่มันกลับหายสาบสูญไปตั้งแต่อาณาจักรบาบิโลเนียได้รับชัยชนะจากประเทศอิสราเอล ในช่วงก่อนคริสต์ศักราช (ปี 597-586)
เหรียญบาร์เบอร์ ถือว่าเป็นเหรียญหายากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา แม้ว่าจะเคยผลิตออกมาถึง 4 ล้านเหรียญ แต่ตามตำนานเล่าว่า ในระหว่างที่ขนส่งเหรียญจากฟีนิกส์ไปโคโลราโด รถไฟที่บรรทุกเหรียญเกิดอุบัติเหตุที่ แบล็คแคนยอน ทำให้เหรียญตกหล่นและหายสาบสูญ จะเหลือก็เพียงเหรียญไม่ถึง 12 เหรียญ และเพราะมันหายากเอามากๆ ในปี 2007 ได้มีการเปิดขายเหรียญบาร์เบอร์ที่เหลืออยู่ ในราคาเหรียญละ 1.9 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 67 ล้านบาท
9. ฟิล์มภาพยนตร์เรื่อง “The White Shadow”
ในปี 1923 ฮิตช์ค็อก ได้สร้างหนังเรื่อง “The White Shadow” ซึ่งเขาเองก็เป็นทั้งนักเขียน, ผู้กำกับ, นักออกแบบทุกอย่าง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากและโด่งดังมากในยุคนั้น แต่ต่อมาม้วนฟิล์มของหนังเรื่องนี้กลับหายสาบสูญเอาดื้อๆ
จนกระทั่งปี 2011 ม้วนฟิล์มของหนังเรื่องนี้ดันไปปรากฏตัวในประเทศนิวซีแลนด์ จนต้องถูกเก็บรักษาไว้ให้ปลอดภัยที่สุด ในหอจดหมายเหตุภาพยนตร์ของนิวซีแลนด์ แต่น่าแปลกที่ม้วนฟิล์มอีก 3 ม้วน ยังคงหายไปอย่างลึกลับ สำหรับการตีราคาของม้วนฟิล์มเรื่อง “The White Shadow” อยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
10. เหมืองทองคำในประเทศเยอรมัน
Jacob Waltz คือผู้อพยพชาวเยอรมัน ที่เดินทางไปพบเหมืองทองคำ ในเทือกเขาลึกลับแห่งหนึ่ง ในรัฐแอริโซนา จนทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วพริบตา จนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงในปี 1800 ผู้คนในละแวกนั้นหรือจากทั่วทั้งสารทิศต่างเดินทางเพื่อมาที่เหมืองทองคำ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครพบเหมืองทองคำแห่งนี้
ในปี 1885 อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ได้จ้างช่างเพชรชาวรัสเซีย Peter Carl Fabergé ให้ทำไข่ทองคำเพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่ภรรยา ช่างเพชร Fabergé ใช้เวลากว่า 33 ปี ในการสร้างไข่ทองคำจนได้ถึง 50 ใบ
ต่อมาในปี 1917 เกิดการปฏิวัติรัสเซียขึ้น Fabergé ได้หนีออกนอกประเทศ ไข่ทองคำทั้งหมดที่เก็บไว้ในคลังอาวุธ ถูกตกไปอยู่ในมือของทหารเครมลิน และปัจจุบันมันก็หายสาบสูญไปหมด
Dutch Shultz เป็นแกนนำม๊อบของฝูงชนในอเมริกา แห่งยุค 30 จากการประท้วงที่ยาวนานทำให้เขามีเงินสะสมจำนวนมาก และด้วยความกลัวว่าจะถูกขโมยเงิน เขาจึงหาวิธีเก็บซ่อนเงินเหล่านี้ด้วยการหอบความมั่งคั่งของเขาทั้งหมดไปฝังไว้ที่เทือกเขา Catskill
ต่อมาในปี 1935 เขาถูกยิงจนเสียชีวิต พร้อมๆ กับความลับที่ฝังสมบัติของเขา ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ในปี 1795 มีเด็กกลุ่มหนึ่งได้ขุดบางอย่างขึ้นมาได้ในเกาะ Oak Island จนทำให้ผู้คนแตกตื่น และเริ่มปล่อยข่าวลือต่างๆ นานา บ้างก็ว่าสิ่งที่เด็กขุดขึ้นมาได้นั้นเป็นสมบัติของโจรสลัดเคราดำ ที่นำมาทิ้งไว้ที่เกาะแห่งนี้ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปก็ยังที่ใครค้นพบสมบัติสักชิ้นบนเกาะ Oak Island
ประเทศเปรู มีประวัติศาสตร์ลึกลับ เกี่ยวกับเมือง Paititi แห่งอาณาจักรอินคา ตามตำนานเล่าว่า ชาวอินคาได้ซ่อนทรัพย์สมบัติเอาไว้ในเมืองแห่งนี้ เพื่อให้รอดพ้นจากการถูกรุกรานของประเทศสเปน จากการคาดเดาคาดว่า ทรัพย์สินที่ถูกซ่อนไว้น่าจะมีมูลค่าสูงถึง 3.56 แสนล้านบาท (โดยประมาณ)
ในศตวรรษที่ 17 – ศตวรรษที่ 18 มีข่าวลือว่ายุโรปได้ปล้นและแย่งชิงสมบัติมาจากกรุงลิมาประเทศเปรู และต่อมาสมบัติก็ถูกดูแลโดยกัปตัน William Thompson ที่ทำหน้าที่ขนส่งสมบัติไปยังประเทศเม็กซิโก แต่เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใคร Thompson ได้ผันตัวเองมาเป็นโจรสลัด และมุ่งหน้าไปยังเกาะโคโคส แต่โชคไม่เข้าข้าง เขาถูกชาวสเปนจับตัวได้เสียก่อน และเพื่อการเอาตัวรอด Thompson ต่อรองโดยออกอุบายชวนให้ชาวสเปนไปล่าสมบัติด้วยกันและเขาจะแบ่งสมบัติให้ เมื่อออกเดินทางได้ไม่ทันไร Thompson ก็ขนสมบัติของลิมาหนีออกจากเรือ และหายสาบสูญตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ข้อมูลจาก: tlcthai