หนังสือพิมพ์ The Independent ได้นำเสนอเกี่ยวกับ “10 รายชื่อหนังสือที่ควรอ่านก่อนจบมัธยมศึกษา” โดยเป็น 10 เล่มได้รับคัดเลือกจากคุณครู 500 ท่านนั่นเองครับ
อันดับที่ 1 1984 โดยจอร์จ ออร์เวล
ไม่ต้องสงสัยว่าวรรณกรรมดิสโทเปีย (โลกอุดมคติด้านมืด) อย่าง 1984 ยังคงครองใจนักอ่านจนถึงทุกวันนี้ ให้เราได้เปรียบเทียบถึงสิ่งที่หนังสือบรรยายกับโลกแห่งความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า จนทำให้เรา อดคิดไม่ได้ว่า มันช่างเหมือนเสียยิ่งกระไร ทุกคนสามารถหาอ่านในเวอร์ชั่นภาษาไทยได้แล้วตามร้านหนังสือทั่วไป จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สมมติ
อันดับที่ 2 Kill a Mockingbird ประพันธ์โดย ฮาร์เปอร์ ลี
หรือในชื่อของ “ผู้บริสุทธิ์” วรรณกรรมยอดนิยมจากฝีมือนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ เล่าถึง แอคติตัส ฟินซ์ ทนายความผู้รักความถูกต้องที่ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในบรรยากาศการแบ่งแยกสีผิวในอเมริกา หนังสือนี้เคยถูกจัดเป็นหนังสือต้องห้ามในหลายโรงเรียนของสหรัฐฯช่วงปี 1960 ด้วยเกรงจะทำให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นขึ้น จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์เรจิน่า
อันดับที่ 3 Animal Farm โดยจอร์จ ออร์เวล
ผลงานอีกชิ้นของออร์เวล (แนะนำอ่านคู่กันกับ 1984) เรื่องราวสัตว์หลายชนิดในฟาร์มที่รวมตัวกันโค่นล้มเจ้าของฟาร์ม จนกระทั่งผู้โค่นการกดขี่กลายเป็นผู้กดขี่เสียเอง มีจำหน่ายแล้วในเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยการแปลของบัญชา สุวรรณานนท์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น
อันดับ 4 Lord of the Flies โดยวิลเลี่ยม โกลดิง
ผลงานเลื่องชื่อของโกลดิง ในชื่อไทยว่า “วัยเยาว์อันสิ้นสูญ” บรรยายเรื่องราวของเด็กกลุ่มหนึ่งที่เครื่องบินตกบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง เด็กเหล่านี้ต้องตัวรอดท่ามกลางปัญหาและความขัดแย้งมากมาย ซึ่งจะทำให้เข้าใจวิธีคิดและกระทำของบรรดาผู้ใหญ่หลายคน รวมถึงพ่อแม่ของน้องๆด้วย จัดพิมพ์ในเวอร์ชั่นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ไลต์เฮาส์พับลิชชิ่ง
อันดับที่ 5 Of Mice and Men โดยจอห์น สไตน์เบ็ค
ผลงานในชื่อภาษาไทย “เพื่อนยาก” จากฝีมือนักเขียนรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เป็นเรื่องราวของ ชาย 2 สองคนที่เกือบมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่จะทำให้เราได้เห็นถึงคุณค่าของมิตรภาพระหว่างกันไม่ว่าแต่ละคนมีชีวิตแตกต่างกันอย่างไร แต่ก็มีความต้องการใครซักคนอยู่เคียงข้างในยามอ้างว้างเสมอ
อันดับที่ 6 Harry Potter โดย เจ.เค.โรว์ลิ่ง
ในทศวรรษนี้ ไม่มีใครไม่รู้วรรณกรรมยอดนิยมของคนทั่วโลก และนักเขียนคนนี้ ที่พลิกชีวิตจนกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เรื่องราวของหนุ่มน้อยแฮรี่ ที่สูญเสียพ่อแม่จากวอลเดอร์โมล์ด พ่อมดจอมโฉด และชีวิตหลังจากที่ได้เข้าโรงเรียนเวทย์มนต์ฮอควอร์ด
อันดับ 7 A Christmas Carol โดยชาร์ลส ดิกเก้นส์
วรรณกรรมสุดคลาสสิคที่อายุนานมากว่าร้อยปี เป็นเรื่องราวของ “เอเบเนเซอร์ สครูจ” นายธนาคารผู้ละโมบ ได้พบกับวิญญาณของเพื่อนเก่าที่เตือนถึงภูติที่มาในวันคริสต์มาส ได้แก่ อดีต ปัจจุบันและอนาคต จนในที่สุด สครูจสำนึกได้ว่าตนขาดความรักและความเห็นอกเห็นใจ จึงใช้เวลาที่เหลือในชีวิตแบ่งปันให้กับผู้อื่นและอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข
อันดับที่ 8 The Catcher in the Rye โดย เจ.ดี.ชาลินเจอร์
หรือในชื่อภาษาไทย “จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น” ด้วยฝีมือการแปลของ ปราบดา หยุ่น เรื่องราวของโฮลเดน คอลฟีลด์ เด็กหนุ่มที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน มีชีวิตที่ตกต่ำเพราะรู้สึกว่าโลกรอบตัวกำลังโกหกเขา แต่เป็นตัวโฮลเดนต่างหากที่กำลังโกหกตัวเอง จนเขาได้พบกับความรัก ที่ทำให้เขายืนหยัด ตั้งหลักกลับไปสู่ชีวิตต่อไป
อันดับที่ 9 The Great Expectations โดยชาร์ลส ดิกเก้นส์
ผลงานในชื่อภาษาไทย “แรงใจและไฟฝัน” ผลงานคลาสสิคอีกชิ้นของดิกเก้นส์ เป็นเรื่องราวของ เด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายจนได้พบกับหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่ง ตัวเอกจึงมีมุมมองชีวิตเปลี่ยนไป มองว่าตัวเองช่างต่ำต้อยและพยายามไขว่ขว้าหาชีวิตที่ดีกว่าเดิม พร้อมความคาดหวังในตัวหญิงสูงศักดิ์ที่เขาจดจำฝังใจมาแต่วัยเยาวร์
อันดับที่ 10 Pride and Prejudice โดย เจน ออสเตน
Pride and Prejudice หรือ สาวทรงเสน่ห์ สะท้อนถึงเรื่องราวของสังคมชนชั้นสูงของอังกฤษที่ ผู้หญิงมีค่านิยมที่ต้องมีชายผู้สูงศักดิ์และร่ำรวยเพื่อให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตัวเธอ จัดว่าเป็นนิยายประโลมโลกที่นอกจากอ่านให้บันเทิงและยังสะท้อนถึงค่านิยมที่คนแสวงหาสิ่งสะดวกสบายและสิ่งที่สร้างความภูมิใจคือเกียรติยศและความมีชื่อเสียง
ข้อมูลจาก: sanook