เว็บไซต์ BestMasterPrograms ได้นำเสนอภาพกราฟิกที่ดูน่าแปลกใจภายใต้หัวข้อ The Death of the Bachelor’s Degree (ความตายของปริญญาตรี) เพื่อแสดงให้เห็นข้อเสียบางอย่างของการเรียนปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา ที่หลายๆคนกำลังไขว่คว้ากัน เราลองมาดูกันเลยครับ
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยในมหาวิทยาลัยรัฐ จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละ 22,800 เหรียญ (ราว 700,000 บาท)
ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยในมหาวิทยาลัยเอกชน จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละ 44,750 เหรียญ (ราว 1,400,000 บาท)
นั่นทำให้นักศึกษาแต่ละคน ต้องกู้ยืมในการเรียน และมีหนี้สินเฉลี่ยคนละประมาณ 29,000 เหรียญ (ประมาณ 900,000 บาท)
แต่พอเรียนจบไป….
16% ของอาชีพบาร์เทนเดอร์ มีวุฒิปริญญาตรี
14% ของพนักงานลานจอดรถ มีวุฒิปริญญาตรี
23% ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มีวุฒิปริญญาตรี
12% ของคนขับแท็กซี่ มีวุฒิปริญญาตรี
ซึ่งทางข้อมูลนั้นเห็นว่า อาชีพต่างๆที่ยกตัวอย่างมา ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญาตรีก็ได้ ทำให้หลายคนต้องเสียเวลา เสียเงิน และประเทศกำลังสูญเสียทรัพยากรมนุษย์โดยเปล่าประโยชน์
โอกาสมีบริษัทมาเสนองานให้ทำเลย หลังจากจบปริญญาตรี…
– สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ 69%
– สาขาเศรษฐศาสตร์ 62%
– สาขาบัญชี 61%
– สาขาประวัติศาสตร์ 40%
– สาขาภาษาอังกฤษ 33%
– สาขาศิลปะการแสดง 28%
เพราะฉะนั้น เมื่อจบปริญญาตรีแล้วไม่ได้งาน หลายคนก็เลยเลือกเรียนต่อปริญญาโท….
ค่าเรียนปริญญาโท จะเริ่มต้นที่ประมาณ 20,000-30,000 เหรียญ (ราวๆ 600,000-900,000 บาท) ขึ้นไป
ซึ่งระหว่างปี 2002-2012 ยอดบัณฑิตที่จบปริญญาโทในแต่ละปี พุ่งสูงขึ้นมากถึง 63% และจากผลการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีหนึ่งกว่า 42% ต้องการเรียนจนจบปริญญาโท
จบมาแล้วคุ้มค่าไหม !?
ค่าเฉลี่ยของคนจบปริญญาตรี จะสามารถสร้างรายได้ประมาณสัปดาห์ละ 1,066 เหรียญ (ประมาณ 32,000 บาท) และมีโอกาสว่างงาน 4.5%
ค่าเฉลี่ยของคนจบปริญญาโท จะสามารถสร้างรายได้ประมาณสัปดาห์ละ 1,300 เหรียญ (ประมาณ 40,000 บาท) และมีโอกาสว่างงาน 3.5%
เพราะฉะนั้นในอนาคต การเรียนต่อปริญญาตรีที่มีราคาแพง(มากกกกก) ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการหางานทำ ทาง BestMasterPrograms ก็ได้ให้ข้อเสนอว่าควรจะต่อปริญญาโทเพื่อโอกาสได้งานที่มากขึ้น หรืออีกทางคือเลือกเรียนหลักสูตร Associate’s Degree ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ากันมากนั่นเองครับ….
ที่มา: bestmastersprograms